เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

0
1580
เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป
  • ผลงานเขียนจากนักศึกษาสาขาวารสารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ DPU

คุณเคยมีความสุขจากการเดินทางบ้างไหม ผมมักจะรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่ากลิ่นอายของการสัญจรไปในที่ต่างๆนั้น ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว หลายครั้งมักมีแรงบันดาลใจที่สวยงามในทุกหนทุกแห่งตามที่ใจเราต้องการ ในครั้งนี้พวกเราทั้ง 3 ชีวิต ที่มีหัวใจเดียวกันได้เดินทางมายังสถานที่แห่งหนึ่ง อุดมไปด้วยเหล่าแมกไม้และความสมบูรณ์ของธรรมชาติไร้การปรุงแต่งคือ “เขาพะเนินทุ่ง” เป็นยอดเขาสูงสุดของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

หัวใจดวงเดียวกัน

เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาบ่ายโมง ค่าน้ำมัน 1,500 บาท พอดิบพอดี เราใช้เส้นทางถนนพระราม 2 มุ่งสู่ภาคใต้ ขับไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดเพชรบุรี เลี้ยวเข้าแยกอำเภอแก่งกระจาน ขับมาตามทางจะมีป้ายอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากนั้นก็ขับมาจนถึงตัวอุทยานฯ ตลอดการขึ้นเขาพะเนินทุ่งนั้นจะต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 จังหวะ ทางชันคดเคี้ยวและเป็นหลุมเป็นบ่อ

สำหรับคนที่ไม่ต้องการขับรถมา มีบริการรถตู้ จากกรุงเทพฯ อนุสาวรีย์ฯ – แก่งกระจาน เริ่มวิ่งตั้งแต่เวลา 05.00 น. – 20.00 น. ทุกวัน ราคาค่าโดยสาร 180 บาท โดยรถตู้จะไปส่งที่ตัวอุทยานฯ ส่วนรถตู้ที่ออกจากแก่งกระจาน – อนุเสาวรีย์ฯ เริ่มวิ่งตั้งแต่เวลา 05.00 น – 19.00 น. ทุกวัน

หมู่ดาวระยิบระยับพร่างพราว

คืนนี้เรากางเต้นท์กันบริเวณที่พักของอุทยาน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ บรรยากาศแถวที่พักติดริมอ่างเก็บน้ำเขือนแก่งกระจาน แต่สำหรับคนที่อยากจะขึ้นมาแคมป์ปิ้งกับครอบครัว เพื่อนฝูง ทำอาหารกินกันเอง สามารถทำได้ แต่ต้องประหยัดไฟเพราะไฟฟ้าจะเปิดปิดเป็นเวลา ที่สำคัญมาจากการปั่นไฟฟ้าด้วยน้ำมัน ดังนั้นต้นทุนสูง อุปกรณ์ทำกับข้าวแบบไฟฟ้าจึงขอสงวนสิทธิ์ ที่สำคัญขยะทุกชิ้นต้องเก็บกลับลงเขาไปด้วย

เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท เรามานอนดูท้องฟ้า ภูเขา ต้นไม้ และฝูงนกบินไปบินมา วางความเครียด ความเบื่อหน่ายและหัวใจที่เหนื่อยล้าจากเมืองกรุงทิ้งลงบนยอดหญ้า แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจให้กลับมาสดใสเช่นเดิม ใครไปนอนเล่นจะเคลิ้มหลับอย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว เพราะสายลมพัดผ่านมาอย่างเย็นสบาย คืนนี้บนท้องฟ้าโปร่งใสสามารถมองเห็นหมู่ดาวทอแสงพร่างพราวอยู่เหนือยอดเขาตกดึกอากาศยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เราตั้งใจเก็บภาพความสวยงามของหมู่ดาว และขุนเขาที่อยู่เบื้องหลังนี้เอาไว้ โดยมีอุปกรณ์ครบครันมีทั้งขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์ ที่พิเศษไปกว่านั้น จุดที่เราพักไม่มีไฟฟ้า จึงใช้ไฟฉาย แบบปั่นมือแทนแสงสว่าง เราผลัดกันถ่ายรูปและปั่นไฟฉายเข้ามายังเต้นท์ เพื่อให้แสงส่องไปยังเต้นท์ แต่กว่าจะได้ภาพที่ต้องการเล่นเอาหน้าซีดไปตามๆ กัน

สายลมเย็น พัดโชยเอื่อยๆ ในช่วงกลางดึกผมนั่งอยู่ใกล้ๆ เต็นท์ บนพื้นหญ้าที่ชื้นไปด้วยน้ำค้าง มองไปรอบๆ เห็นหมู่ดาวส่องแสงทองประกายทั่วท้องฟ้า ความงดงามภายใต้คืนเดือนมืดนับเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต่างหลงไหลที่หาไม่ได้ในเมืองหลวง

การเดินทางกลางสายหมอก

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

รุ่งอรุณวันใหม่เราตื่นมาพร้อมความสดใส ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่รอคอย อีกครั้งที่แบกความหนาวกับสายหมอกที่อยู่ในสายลมมาด้วย เสียงนกร้อง ชะนีร้องโหยหวนดังกังวานทั่วผืนป่า แน่นอนความแข็งแรงของร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง เพราะหากพักผ่อนน้อย หรือโดนน้ำค้างจากเมื่อคืนและผสมผสานกับอากาศที่หนาวด้วย อาจจะหลับเลยก็ได้ ขณะนี้ร่างกายของเราพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง

ก่อนจะขึ้นเขาพะเนินทุ่ง จะต้องชำระค่าบัตรเข้าเสียก่อน อัตราค่าบริการนั้นอยู่ที่คนละ 100 บาท  เฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ ส่วนจันทร์-ศุกร์ จะเหลือแค่ 50 บาท ค่ารถยนต์อยู่ที่คันละ 30 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 330 บาท สำหรับใครที่ไม่ต้องการนำรถขึ้นไป ทางอุทยานฯมีรถให้บริการ คนละ 160 บาท โดยสารได้ 10 คน

หลังจากชำระค่าบัตรแล้ว รถได้เคลื่อนที่เราปิดแอร์และลดกระจกลงจนสุด เพราะอยากสัมผัสกับอากาศสองข้างทาง ยิ่งขับขึ้นมาสูงเท่าไหร่อากาศก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ หายใจชุ่มปอดมากขึ้น ทุกคนต่างมีอารมณ์คล้อยไปตามธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าตลอดข้างทางถูกโอบล้อมไว้ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ โดยมียอดเขาที่สูงที่สุดคือ “พะเนินทุ่ง” ถือว่าเป็นพระเอกของงาน

เราขึ้นมาบนยอดเขาพะเนินทุ่ง กม. 30 จุดชมวิวมีผู้คนต่างจับจองพื้นที่ถ่ายภาพ  เราก็เช่นกันต่างวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ บนเขาพะเนินทุ่งนี้ มีทะเลหมอกที่สามารถดูได้ทั้งวัน แต่ความหนาแน่นของหมอกนั้น จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ทุกคนดูตื่นเต้นมากเพราะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของฝืนป่าแห่งนี้  เห็นทิวทัศน์กว้างไกลของผืนป่าที่ปกคลุมด้วยหมอกสีขาวบริสุทธิ์ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวง ทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่งแห่งนี้ รับรองว่าสวยไม่เป็นรองที่ไหนแน่นอน เราเก็บภาพต่างๆ ด้วยกล้อง DSLR แสงขอบฟ้าทอประกายขึ้นมาอย่างงดงาม สีส้มอ่อนกระทบบนสันเขา จากนั้นเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ สลับสีกันไปอย่างช้าๆ จนพระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วหุบเขา แต่หมอกก็ยังไม่จางหาย

เกิดเป็นภาพที่สวยงามจนอดยิ้มไม่ได้

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

จากนั้นเราขับรถไปอีก 5 กม. มาถึงจุดชมทะเลหมอกที่อยู่ต่ำลงมาหน่อย  ณ กม.35 ที่นี่เราจะได้สัมผัสหมอกที่หนาวเย็น สายฝนปรอยๆ ตกมาจากท้องฟ้าสู่พื้นดินทีละนิด ห่างไม่ถึง 5 เมตร ถูกหมอกบดบังทำให้ดูมืดเห็นเพียงแค่โครงร่างของกิ่งไม้ เรารอถ่ายพระอาทิตย์จนถึงเกือบ 10 โมง แต่ไม่มีแสงโผล่ออกมาให้เห็นเลย

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

ถึงแม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตามที่ต้องการ แต่การได้เข้าถึงวิถีของธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแบบนี้ รับรู้ถึงคุณค่าที่จะได้มาเพียงหนึ่งนั้นแสนยากเข็น ตลอดทางลงเขา พวกเราได้ชมความสวยงามสองข้างทาง ผีเสื้อหลายชนิดหลากสีสัน เต็มสองฝั่งทาง จนต้องจอดรถเข้าไปดูถึงความสวยงามของผีเสื้อและไม่ลืมที่จะเก็บภาพความสวยงามนี้ไว้

เราเดินทางกลับกรุงเทพฯกันในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ได้มาสัมผัสเขาพะเนินทุ่ง ผมใช้งบไม่ถึง  1,000 บาท แลกกับการได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้  2 วัน 1 คืน มาสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ เห็นรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่มีหัวใจเดียวกัน ผมและเพื่อนๆ จะเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ในความทรงจำ ถึงเวลาที่ผมกับเพื่อนต้องเดินทางกลับแล้ว หากใครที่ต้องการแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ใกล้กรุงเทพฯ สุดประหยัดเงินในกระเป๋าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ แค่มีเวลาว่างเสาร์-อาทิตย์ ลองมาที่นี่สักครั้ง “เขาพะเนินทุ่ง” ต้องลองมาเยือนที่นี่สักครั้งหนึ่งในชีวิต คุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป

เขาพะเนินทุ่ง ครั้งแรก และ จะมีครั้งต่อๆไป