ความผูกพันของ ‘สี จิ้นผิง’ ต่อวัฒนธรรม: ต้องเสริมสร้างการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างมีประสิทธิภาพ (5)

0
4
ความผูกพันของ ‘สี จิ้นผิง’ ต่อวัฒนธรรม: ต้องเสริมสร้างการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างมีประสิทธิภาพ (5)
.
เดือนกรกฎาคม 2003 นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียง ได้เดินทางไปดำเนินการศึกษาค้นคว้าที่โบราณสถานเหลียงจู่ ในห้องประชุมขนาดเล็กของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เขาได้ชมสารคดีเกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมเหลียงจู่ พร้อมรับฟังรายงานเกี่ยวกับสภาพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
.
“เหลียงจู่” หมายถึง “ดินแดนในลำน้ำที่สวยงาม” เมื่อกว่า 5,000 ปีที่แล้ว ที่นี่เคยมีเมืองขนาดใหญ่ ทั้งยังได้นำมาซึ่งอารยธรรมอันรุ่งโรจน์
.
ต้นศตวรรษใหม่ ซากโบราณสถานเหลียงจู่กำลังตกอยู่ในความขัดแย้งระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนา
.
มีเหมืองหินมากกว่า 30 แห่งกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณพื้นที่โบราณสถาน ซึ่งส่งเสียงดังและทำให้อากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ชาวบ้านในท้องถิ่นกล่าวว่า หากไม่เช็ดโต๊ะและเก้าอี้ในบ้านเป็นเวลาแค่ครึ่งวันก็สามารถเขียนหนังสือหรือวาดรูปภาพได้เลย มีนักโบราณคดีวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งว่า บริเวณนี้ “เสียงปืนใหญ่ดังก้องเหมือนสนามรบ”
.
สี จิ้นผิงกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ซากโบราณสถานเหลียงจู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อารยธรรม 5,000 ปีแห่งประชาชาติจีน เป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่หายาก เราต้องอนุรักษ์ไว้ด้วยดีให้ได้!”
.
“ท่าทีของสหายสี จิ้นผิงหนักแน่นมาก” ซือ สืออิง ทายาทของซือ ซินเกน นักโบราณคดีผู้ค้นพบโบราณสถานเหลียงจู่ยังคงจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้
.
จากนั้นไม่นาน “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” แห่งนี้ได้กลับคืนสู่ความสงบจาก “เสียงปืนใหญ่” ภูเขากลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้ง และซากโบราณสถานก็ได้รับการเปลี่ยนชะตากรรมใหม่
.
“ตั้งแต่นั้นมาเราได้ยกระดับการอนุรักษ์โบราณสถานเหลียงจู่อย่างต่อเนื่อง” เหอ กวนซิน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯ ประจำเขตอี๋ว์หาง เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง กล่าวว่า การอนุรักษ์โบราณสถานเหลียงจู่ได้ก่อรูปขึ้นเป็นโครงสร้างการทำงานที่ครอบคลุมทั้งด้านการบัญญัติกฎหมาย การวางแผน การก่อสร้าง และการจัดระเบียบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
.
การดำเนินงานทางโบราณคดีได้ก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่อย่างต่อเนื่องภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่มั่นคง
.
ปี 2007 เมืองโบราณเหลียงจู่ที่มีโครงสร้างสมบูรณ์และขนาดใหญ่กลับมาปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง ระหว่างปี 2009 – 2015 ระบบชลประทานบริเวณรอบเมืองโบราณเหลียงจู่ ซึ่งประกอบด้วยเขื่อน 11 แห่ง ที่สามารถควบคุมพื้นที่ 100 ตารางกิโลเมตรได้เผยให้เห็นโฉมหน้าอย่างแท้จริง
.
ปี 2016 นักโบราณคดี 4 คนได้เขียนจดหมายถึงนายสี จิ้นผิง โดยหวังว่าจะผลักดันให้โบราณสถานเหลียงจู่ยื่นขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยเร็ววัน สี จิ้นผิงได้ออกคำสั่งสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะว่า “จำเป็นต้องเสริมสร้างการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างมีประสิทธิภาพ คัดกรองสถานที่สำคัญเพื่อดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ลงลึกเพิ่มความเข้าใจประวัติศาสตร์อันยาวนานและทรงคุณค่าของอารยธรรมประชาชาติจีนอย่างต่อเนื่อง”
.
เดือนกรกฎาคม 2019 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลแคสเปียน การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโก สมัย 43 ได้ลงมติให้เมืองโบราณเหลียงจู่ขึ้นทะเบียนรวมอยู่ใน “รายการมรดกโลก”
.
ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเฉลิมฉลองด้วยความปีติยินดีในบริเวณที่ประชุม หลิว ปิน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโบราณวัตถุและโบราณคดีของมณฑลเจ้อเจียง รู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันใจ “ความเอาใจใส่ของท่านเลขาธิการใหญ่ทำให้โบราณสถานเหลียงจู่เปล่งประกาย ความสำเร็จของการยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นหมายความว่า ความรับผิดชอบและภารกิจในอนาคตของเรามีความสำคัญมากยิ่งขึ้น การดำเนินงานทางโบราณคดีของเหลียงจู่จำต้องขยายไปสู่ขอบเขตที่ลึกและกว้างยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองการให้ความสำคัญของท่านเลขาธิการใหญ่ด้วยการทำงานที่หนักแน่นยิ่งขึ้น”
.
เมื่อไม่นานมานี้ ณ บริเวณที่ห่างจากอุทยานซากเมืองโบราณเหลียงจู่ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร เฉิน หมิงฮุย ผู้อํานวยการสำนักงานเหลียงจู่ สถาบันวิจัยโบราณวัตถุและโบราณคดีมณฑลเจ้อเจียง พร้อมเพื่อนร่วมงานได้ขุดค้นซากโบราณสถานเป่ยชุน การค้นพบที่เกี่ยวข้องมีส่วนช่วยตอบคำถามต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงคำถามที่ว่า “ชาวเหลียงจู่มาจากไหนก่อนการก่อสร้างเมือง”
.
“การสืบค้นต้นกำเนิดอารยธรรมเป็นหัวข้อที่ไม่มีสิ้นสุด” เฉิน หมิงฮุย กล่าวว่า “ท่านเลขาธิการใหญ่ สี จิ้นผิง กล่าวเน้นว่า ต้องลงลึกเพิ่มความเข้าใจประวัติศาสตร์อันยาวนานและทรงคุณค่าของอารยธรรมประชาชาติจีนอย่างต่อเนื่อง นี่คือทิศทางในการฟันฝ่าต่อสู้และการใช้ความพยายามของพวกเราซึ่งเป็นผู้ทำงานด้านโบราณคดี”
.
แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG)
ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่