บทวิเคราะห์:ผลักดันให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับคืนสู่หนทางการพัฒนาด้วยดีและมั่นคงคุ้มค่าที่จะรอคอย

0
1

วันที่ 14-17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเดินทางถึงเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม G20 ครั้งที่ 20 เวลา 17.36 น. ของวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากเครื่องบินพิเศษลงจอดที่เกาะบาหลีเพียง 2 ชั่วโมงกว่า กิจกรรมสำคัญครั้งแรกของสี จิ้นผิงก็ได้รับความสนใจจากทั่วโลกซึ่งก็คือการพบปะกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ

ฉากที่ทั้งสองคนจับมือและยิ้มทักทายก่อนพบปะกันถูกเลนส์กล้องจับไว้และเผยแพร่ข่าวออกไป ระยะเวลา 8 วินาทีการจับมือกันกลายเป็นข่าวพาดหัวของสื่อมวลชนสากล ฉากที่จีนกับสหรัฐฯ ที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลานาน ได้แสดงบทบาทผ่อนคลายและปลอบขวัญจิตวิญญาณที่ตึงเครียดของโลกจากวิกฤตและความท้าทายต่าง ๆ จะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ โดยตลาดหุ้นสองประเทศก็ได้กระเตื้องขึ้นหลังจากการพบปะกัน

มีระยะเวลาหนึ่ง ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ตกอยู่ในจุดต่ำสุดนับแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มีคนไม่น้อยกังวลว่า จีนกับสหรัฐฯจะทำ “สงครามเย็นครั้งใหม่” จีนกับสหรัฐฯอาจมีผลรุนแรงที่เกิดการปะทะกันทางการทหาร ทำให้ประชาคมโลกเต็มไปด้วยความกังวล ภายใต้สถานการณ์นี้ ประมุขจีน-สหรัฐฯสามารถนั่งด้วยกันเจรจาอย่างจริงใจและเปิดเผย ไม่ว่าเจรจาอะไร ล้วนเป็นสัญญาณที่แข็งขันต่อภายนอก

นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างประมุขสองประเทศในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของผู้นำทั้งสองประเทศหลังจากที่ ปธน.โจ ไบเดนดำรงตำแหน่ง และเป็นการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้เสร็จสิ้นภารกิจทางการเมืองที่สำคัญภายในประเทศ ผู้นำสองประเทศรู้จักกันมานานแล้ว เคยมีการโทรศัพท์และพูดคุยทางวิดีทัศน์ ทุกครั้งเป็นการติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยการพบปะกันเป็นการสืบทอดความผูกพันจนถึงวันนี้บ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นใหม่ การพบปะกันมีความยาวกว่า 3 ชั่วโมง เกินกว่าเวลานานที่ตกลงกันไว้ และยังใช้ล่ามแปลสดด้วย

ด้านประธานาธิบดีจีนระบุถึงผลประโยชน์ร่วมกัน 3 อย่างระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้แก่ ผลประโยชน์ร่วมกันพื้นฐานที่ไม่ปะทะกัน ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งสองฝ่ายต้องได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาของอีกฝ่าย การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนส่วนภูมิภาคแยกไม่ออกจากการประสานความร่วมมือระหว่างจีน-สหรัฐฯ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ผลประโยชน์ร่วมกันจีน-สหรัฐฯ ไม่ใช่ลดน้อยลง แต่เป็นเพิ่มมากขึ้น

ส่วนปธน.โจ ไบเดนของสหรัฐฯได้ย้ำจุดยืนเมื่อก่อน และได้ขยายเนื้อหา ซึ่งมีท่าทีที่ว่า สหรัฐฯไม่สนับสนุน “สองประเทศจีน” “หนึ่งจีนหนึ่งไต้หวัน” ไม่แสวงหาหนทาง“ตัดการเชื่อมโยง”กับจีน ไม่ประสงค์ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจจีน ไม่ประสงค์บุกล้อมจีน

ประมุขสองประเทศเห็นพ้องต้องกันว่า การพบปะกันเป็นแบบซื่อสัตย์และสร้างสรรค์ สั่งให้ทีมงานสองประเทศติดตามอย่างทันเวลาและปฏิบัติตามความรับรู้ร่วมกันสำคัญของประมุขสองประเทศ ใช้ปฏิบัติการจริง ผลักดันให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับคืนสู่หนทางการพัฒนาด้วยดีและมั่นคง ประมุขสองประเทศตกลงรักษาการติดต่อกันเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับความผูกพันระหว่างประชาชน ความผูกพันระหว่างประชาชนขึ้นอยู่กับการสื่อสารกันทางจิตใจ จีนกับสหรัฐฯมีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ ระบบสังคม และหนทางการพัฒนา แต่อันนี้ไม่ใช่สิ่งกีดขวางความเชื่อถือซึ่งกันและกันและสร้างมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ และก็ไม่ใช่สิ่งกีดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ทั้งสองประเทศควรผลักดันการแลกเปลี่ยนทางอารยธรรมและการไปมาหาสู่กันระหว่างพลเมือง สร้างพื้นฐานประชาชนที่แข็งแกร่งเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์สองประเทศให้ดีและมั่นคง

มีการวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากความซับซ้อนของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯในปัจจุบัน ความสัมพันธ์สองประเทศอาจไม่สามารถกลับคืนสู่เหมือนเดิมจากการพบปะกันครั้งเดียวระหว่างประมุขสองประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาการเจรจาทำให้ภายนอกเห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯมีความแน่นอนที่คาดการณ์ได้ในระยะสั้น เป็นที่น่ารอคอย โดยประมุขสองประเทศสามารถนั่งคุยกันกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งสะท้อนให้ภายนอกเห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯไม่ใช่การเลือกว่าต้องทำดีหรือไม่ แต่เป็นคำถามที่จำเป็นต้องตอบและจะตอบให้ดีได้อย่างไร

เขียนโดย ชุย อี๋เหมิง ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)