โฆษกรัฐบาล แจงโครงการรถไฟไทย-จีนใช้กฎหมายปกติ ปัดใช้มาตรา 44 ดำเนินงาน

0
154

จากประเด็นที่มีการวิภากษ์วิจารณ์กันว่า นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเว้นใบอนุญาตนิติบุคคลให้กับบริษัทของจีนที่ออกแบบโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ส่งผลให้ฝ่ายจีนสามารถออกแบบได้เลยนั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการใช้ ม.44 ดำเนินการในเรื่องนี้แต่อย่างใด โครงการรถไฟไทย-จีน ใช้กฎหมายปกติดำเนินการ โดยฝ่ายจีนยังคงต้องขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตาม พ.ร.บ.วิศวกร พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.สถาปนิก พ.ศ.2543 เนื่องจากเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทย ดังนั้น ในขั้นตอนการออกแบบจึงต้องใช้วิศวกรจีนดำเนินการ โดยมีคณะทำงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมกำหนดรายละเอียดให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้ส่งแบบสถาปัตยกรรมสถานีที่ สนง.นโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้เคยศึกษาในโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม-นครราชสีมา ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกไทย ให้แก่ทางจีนเป็นต้นแบบด้วย

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า วงเงินค่าออกแบบโครงการรถไฟไทย-จีน เบื้องต้นเป็นจำนวน 1,779.97 ลบ. ไม่ใช่ 10,000 ลบ.ตามที่มีการกล่าวอ้าง ส่วนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการออกแบบเพื่อก่อสร้างนั้น ผู้ที่รับรองการออกแบบของฝ่ายจีนจะต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิศวกรและสภาสถาปนิกไทย ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่สภาวิชาชีพทั้งสองกำหนดไว้

“ความเห็นของกลุ่มบุคคล ดังกล่าว เรื่องการใช้ ม.44 ทำลายโอกาสการสร้างงานให้กับคนไทย และความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยหากออกแบบโดยบริษัทจีน จึงเป็นการกล่าวอ้างที่บิดเบือนเกินความจริง ท่านายกฯ ติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด และกำชับให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของฝ่ายไทยมากที่สุด และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล รวมถึงเน้นย้ำไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ส่วนการใช้อำนาจตาม ม.44 นั้น นายกรัฐมนตรีจะใช้เฉพาะกับเรื่องที่จำเป็น และเนื่องจากโครงการรถไฟไทย-จีน เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณสูงและมีรายละเอียดด้านเทคนิคค่อนข้างมาก จึงต้องทำงานอย่างรอบคอบและคำนึงถึงความคุ้มค่าให้มากที่สุด

สำหรับเรื่องร่างสัญญาความร่วมมือไทย-จีนนั้น อยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน เช่น บุคลากร จีนที่จะเข้ามาทำงานในไทยต้องยึดกฎหมายไทย เป็นต้น ทั้งนี้ ทางการรถไฟฯ ยืนยันว่า จะเร่งรัดดำเนินการให้ได้ตามแผนที่วางไว้ เช่น การตอกเสาเข็ม เริ่มโครงการภายใน 2-3 เดือน ข้างหน้านี้

ที่มา : www.bangkokbiznews.com