จีนยอมให้หมากับแมวเป็นสัตว์เลี้ยงเพียง 2 อย่างที่เดินทางเข้า-ออกประเทศได้ นักเดินทางหนึ่งคนพาได้หนึ่งตัว สัตว์ชนิดอื่นแม้แต่เต่า กระต่าย หนูแกสบี้ตัวเล็ก ๆ เคยมีคนแอบซุกซ่อนไว้ในกระเป๋า แต่มักไม่รอดสายตา จับได้เมื่อไหร่ถูกส่งกลับทันที ในกรณีเลวร้ายสุด ๆ อาจถูกนำไปทำลายทิ้งเสียก็ได้
หมาแมวแม้จะได้สิทธิ์พิเศษกว่าสัตว์อื่น แต่กระบวนการในการพามันเข้า-ออกยุ่งยากกว่าคนหลายเท่า เจ้าของต้องเรียนรู้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎที่ประเทศต้นทางและปลายทางกำหนดไว้ และที่สำคัญต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางอย่างต่ำ 6 เดือน เพราะจีนมีข้อบังคับชัดเจนว่านักเดินทางสี่ขาที่จะเดินทางออกจากประเทศ ต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนโรคกลัวน้ำย้อนหลังตั้งแต่ 1 เดือนถึง 1 ปีนับจากวันเดินทาง และต้องมีใบรับรองจากแพทย์ที่ทำการตรวจสุขภาพให้กับหมาแมวตัวนั้นก่อนออกเดินทาง 30 วัน เหตุผลที่ต้องเข้มงวดขนาดนี้ จีนอ้างว่าเป็นความรับผิดชอบเพราะจีนเป็นประเทศที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคกลัวน้ำ ยังกำจัดโรคกลัวน้ำได้ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขืนปล่อยออกไปง่าย ๆ แล้วไปกัดคนเข้า ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงระดับการทูตระหว่างประเทศเลยทีเดียว
การนำสัตว์เลี้ยงเข้าประเทศจีนก็เหมือนกัน จีนเรียกร้องให้เจ้าของสัตว์ต้องแสดงหนังสืออนุญาตผ่านแดนจากประเทศต้นทางที่เจ้าสี่ขาเดินทางมา พร้อมหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำด้วย แต่ถึงจะมีเอกสารจำเป็นครบทุกอย่างก็ตาม ก็ยังต้องกักกันไว้ที่ด่านกักกันสัตว์อีกอย่างต่ำ 7 วันจนถึง 30 วัน ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสี่ขาตัวนั้นเดินทางมาจากประเทศไหน
แต่ละประเทศกำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการนำสัตว์เลี้ยงผ่านเข้า-ออกจากประเทศไม่เหมือนกัน เจ้าของสัตว์จึงต้องศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามกฎที่ประเทศต้นทางและปลายทางกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แค่นั้นไม่พอแต่ละสายการบินยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการพาเจ้าสี่ขาขึ้นเครื่องไม่เหมือนกันอีกต่างหาก เจ้าของก็มีหน้าที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎเหล่านั้นเช่นกัน เช่น บางสายอาจอนุโลมให้เจ้าของนำสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก (ปกติน้ำหนักไม่เกิน 8 กิโลกรัม) ติดตัวขึ้นไปในห้องผู้โดยสารได้ แต่บางสายก็ให้ถือสัตว์เลี้ยงเสมือนหนึ่งสินค้าซึ่งต้องโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องอย่างเดียว แม้แต่กรงหรือลังที่ใช้กักขังมันในระหว่างเดินทางก็มีสเปคกำหนดไว้ชัดเจน เจ้าของจะทำตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด
ในเมื่อการพาสัตว์เลี้ยงเดินทางมันยุ่งยากนัก บรรดาเจ้าของสัตว์ทั้งหลายซึ่งล้วนแต่มีเงินเหลือใช้แต่ไม่มีความอดทนพอสำหรับเรื่องจุกจิกกวนใจเหล่านี้ จึงยินดีจ่ายเงินเพื่อให้บริการมืออาชีพทั้งหลายมารับภาระไปจากตน อันที่จริงธุรกิจขนย้ายหมาแมวเข้าออกประเทศเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับจีน แต่อนาคตของธุรกิจประเภทนี้กลับเบิกบานรุ่งโรจน์อย่างเห็นได้ชัด เพราะจำนวนคนที่ต้องการใช้บริการมีเพิ่มขึ้นทุกปี ค่าบริการที่ชาร์จก็เรียกได้แบบไม่ค่อยต้องเกรงใจกันเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่จะให้บริการแบบที่เรียกว่า door-to-door คือรับตัวจากบ้านแล้วส่งตัวให้ถึงบ้าน ก่อนเดินทางเป็นธุระจัดการให้ทุกอย่างทั้งตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนให้ครบตามที่กฎหมายกำหนด รวมตลอดไปถึงการดูแลให้เจ้าสี่ขาได้รับความสุขสบายและปลอดภัยตลอดการเดินทาง
ข้อมูลจากด่านกักกันสัตว์เข้าออกจากประเทศจีนระบุว่า 11 เดือนของปีที่แล้วคือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2016 มีหมาแมวเข้าออกจากประเทศทั้งหมดประมาณ 8,000 ตัว เฉพาะที่ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าบางวันมีเข้าและออกถึง 7-8 ตัว ส่วน ICVS (International Center for Veterinary Services) โรงพยาบาลสัตว์ขนาดใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งนอกจากให้บริการรักษาโรค เลี้ยงดู และฝึกหัดสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังจัดอบรมให้ความรู้ฟรีแก่เจ้าของสัตว์ที่จะพาหมาแมวของตนออกเดินทาง ICVS บอกว่าในรอบปีที่ผ่านมามีเจ้าของมาขอรับบริการจากตนประมาณ 2,000 ราย 40% ของเจ้าของสัตว์เป็นพลเมืองจีน
อะไรทำให้เจ้าสี่ขาลุกขึ้นมาอพยพย้ายถิ่นกันเป็นที่เอิกเกริก ? เรื่องนี้โปรดอย่างคิดว่าเป็นเรื่องของหมาแมวคนไม่เกี่ยว เพียงพิเคราะห์ดูสักนิดก็จะเห็นว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่จีนกำลังเฟื่องฟู หลาย ๆ ปีมานี้จีนมีนักการทูตต่างชาติ และนักธุรกิจระดับประเทศหิ้วกระเป๋าเดินทางเข้าออกเป็นประจำทุกวัน คนพวกนี้ต้องเข้าไปทำงานระยะยาวจึงมักพาครอบครัวไปพำนักอยู่ด้วย หมาแมวที่เคยเลี้ยงดูซึ่งพวกฝรั่งถือคติว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว จะไปไหนจึงต้องขนมันไปด้วย
คติของพวกฝรั่งที่ว่านี้ (ซึ่งที่จริงต้องเรียกว่าคติของพวกผู้ดีมีอันจะกินจึงจะถูก) พอมาเจอกับจีนในยุคเฟื่องฟูเข้า ก็แทรกซึมกลายเป็นคติของคนจีนผู้มีอันจะกินจนล้นเกินได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทุกวันนี้คนจีนที่ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างประเทศมีเป็นจำนวนมาก ส่วนไม่น้อยซื้อบ้านช่องห้องหอปักหลักอยู่อย่างถาวร จึงต้องหอบหิ้วสัตว์เลี้ยงไปด้วย อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกเด็กหนุ่มสาวที่ไปเรียนหนังสือต่างประเทศ ซึ่งจากคำบอกเล่าของ Kiki Chen เจ้าหน้าที่ของบริษัท World Care Pet ฟังแล้วแทบไม่อยากเชื่ออีกเหมือนกัน เธอบอกว่านักศึกษาหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่ ชอบทำตัวเป็นคุณหนูอุ้มหมาแมวไปอยู่เป็นเพื่อนที่เมืองนอก พอเรียนจบก็หิ้วมันกลับมาด้วย
อยากรู้ไหมว่าค่าใช้จ่ายในการพาสัตว์เลี้ยงเหินฟ้าไปต่างแดนแพงแค่ไหน ? คุณเฉินเจ้าหน้าที่ของ ICVS ยกให้ดูพอเป็นตัวอย่าง… หมาขนาดธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งมีค่าตรวจสุขภาพ ค่าฉีดวัคซีน และค่าบริการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางต่าง ๆ รวมกันอยู่ที่ 6,752 หยวน หรือประมาณ 40,000 บาท ค่าพาหนะรับส่งแบบ doot-to-door อีกประมาณ 4,200 บาท ค่าเครื่องบินคิดอัตราคาร์โกคือขนส่งแบบสินค้า ราคาอาจมีตั้งแต่แพงเท่ากันหรือกระทั่งแพงกว่าค่าตั๋วโดยสารของผู้เป็นเจ้าของ
ตัวเลขโดยคร่าวๆ ก็คือ หมาหนึ่งตัวเดินทางจากปักกิ่งไปลอนดอนต้องเตรียมค่าใช้จ่ายไว้ที่ 12,000 – 20,000 หยวน หรือ 60,000 กว่าบาท – 200,000 กว่าบาท ขึ้นกับขนาดของหมาและสายการบินที่เลือกบิน
เพราะจำนวนนักเดินทางสี่ขาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทางการจีนจึงอยู่ในระหว่างพิจาณาว่าจะยกเลิกกฎข้อบังคับที่ให้สัตว์ทุกตัวต้องถูกกักตัวไว้ที่ด่านอย่างต่ำ 7 วันถึง 30 วัน หันไปใช้วิธีพิจารณาแต่ละตัวเป็นราย ๆ เคสไหนดูแล้ว “ความเสี่ยงต่ำ” หลังจากตรวจเอกสารแล้ว ตรวจสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว อาจปล่อยให้เจ้าของเอาตัวกลับไปได้เลย ซึ่งวิธีนี้นอกจากช่วยลดภาระต้องเลี้ยงดูสัตว์สี่ขาจำนวนมากแล้ว ยังเชื่อว่าจะได้รอยยิ้มและคำขอบคุณจากเจ้าของกลับคืนมาให้ชื่นใจด้วย..
“เจ้าของบางคนพอรู้ว่าสัตว์เลี้ยงของตนต้องถูกกักตัวไว้หลายวัน ถึงกับน้ำตาร่วง ตกเป็นหน้าที่ให้พวกเราต้องรีบเข้าไปปลอบประโลม”
โปรดทราบ… เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คนเกลียดหมาเกลียดแมวไม่ควรอ่าน หรือหากจะอ่านก็ไม่ควรคิดว่าเป็นเรื่องโกหก
โดย วิริยาภา
จากคอลัมน์ THIS IS CHINA นิตยสาร New Silk Road