หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง

0
1618
(180128) -- YAN'AN, Jan. 28, 2018 (Xinhua) -- Photo taken on Jan. 17, 2018 shows a general view of Liangjiahe Village in Yanchuan County of Yan'an, a former revolutionary base in northwest China's Shaanxi Province. (Xinhua/Liang Aiping)(mcg)
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 1
 
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ปี 2015 ก่อนเทศกาลตรุษจีน นายสี จิ้นผิง (ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของจีน) เดินทางไปหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงหวงถู่ เป็นสถานที่ในความทรงจำของ ปธน.สี แม้จะอำลาจากหมู่บ้านนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านที่เคยทำงานและใช้ชีวิตมาตลอด 7 ปี ได้พบกับชาวบ้านที่เคยอยู่ร่วมกัน ปธน.สีก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้น คนในหมู่บ้านพากันออกมาต้อนรับและพูดคุยตลอดเส้นทาง
ปธน.สี จิ้นผิงถามชาวบ้านว่า “รายได้เป็นยังไง” “ปกติทานอะไรกัน” “คนสูงวัยที่บ้านยังแข็งแรงดีอยู่ไหม” “เด็กๆ ทำอะไรอยู่” “ชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร” “มีข้าวสวยข้าวจ้าวให้กินไหม” “ได้กินเนื้อกินหมูเป็นประจำหรือเปล่า” บรรดาเพื่อนชาวนาบอกกับนายสี จิ้นผิงว่า ปัจจุบันชีวิตดีขึ้นแล้ว ปกติจะกินหม่านโถว ข้าวและเนื้อ เมื่อไหร่อยากกินก็ไปซื้อมากินได้สบาย เมื่อได้ยินคำตอบเหล่านี้ ใบหน้าของนายสี จิ้นผิงมีความยิ้มแย้ม และกล่าวด้วยความพอใจว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี ชาวบ้านล้วนมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกสบายใจ” การเดินทางกลับมาคราวนี้ นายสี จิ้นผิงได้เอาเงินส่วนตัวจัดซื้อข้าว แป้งสาลี น้ำมันปรุงอาหาร เนื้อหมู และอาหารสิ่งของสำหรับฉลองเทศกาลตรุษจีนอีกหลายอย่าง ให้กับชาวบ้านเกือบทุกบ้าน
บ้านถ้ำ “ลิ่วโข่งเหยา” ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอสร้างขึ้นเมื่อปี 1970 เป็นห้องพักสำหรับกลุ่มนักเรียนเยาวชนที่มาจากตัวเมือง นายสี จิ้นผิงก็เคยเข้าพักในบ้านถ้ำแห่งนี้จนถึงปี 1975 หลังจากนั้นต้องอำลาหมู่บ้านและไปทำงานที่อื่น เมื่อกลับมาอีกครั้ง เขาได้พิจารณาถ้ำแห่งนี้อย่างละเอียด และบ่อก๊าซชีวภาพยังคงมีอยู่ นี่ก็เป็นความทรงจำของเวลานั้น ที่นายสี จิ้นผิงได้นำพาบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านสร้างขึ้น นับเป็นบ่อก๊าซชีวภาพแห่งแรกของมณฑลส่านซี ภาคตะวันตกของจีน เมื่อปี 1969
 .
หลังจากที่นายสี จิ้นผิงได้ไปทำงานที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอหลายเดือนแล้ว พอดีนายจาง เว่ยผังชาวนาในหมู่บ้านเพิ่งแต่งงาน เนื่องจากที่พักของเขาใกล้กับบ้านถ้ำของนายสี จิ้นผิง ก็เลยคุ้นเคยกันมาก ปีนั้น บ้านของนายจาง เว่ยผัง ค่อนข้างยากจน หลังจากนายสี จิ้นผิงได้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาประจำหมู่บ้านแล้ว เขามักจะสนับสนุนเงินเดือนและอาหารแก่ครอบครัวนี้ และทานข้าวร่วมกันอยู่เสมอ
นอกจากนั้นก่อนจะเดินทางออกจากหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ เพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของกรุงปักกิ่ง นายสี จิ้นผิงได้ส่งผ้าห่มสองผืนและเสื้อกันหนาวสองตัวให้กับนายจาง เว่ยผัง นายสี จิ้นผิงเคยกล่าวว่า เวลานั้น เพื่อนๆ ชาวนาสอนวิธีการใช้ชีวิตและการทำนาให้กับผม ทำให้ผมได้รับประโยชน์อย่างมาก เวลานั้นผมยังเป็นวัยรุ่น อายุประมาณ 16ปี มาจากตัวเมือง ทำอะไรก็ไม่เป็น แต่หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว ผมทำเป็นทุกอย่าง เช่น ทำอาหารแป้ง นึ่งหม่านโถว และทำผักดองเปรี้ยว เป็นต้น นานแล้วที่ไม่ได้กินผักดองเปรี้ยวก็อยากกินบ้าง
 .
นายสี จิ้นผิงอำลาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอเกือบ 40 ปีแล้ว แต่เขาคิดถึงและให้ความสนใจต่อเพื่อนชาวนาที่นี่เป็นเสมอ เมื่อปี 1994 นายหลู่ โหวเซิง ชาวนาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ เป็นโรคกระดูกอักเสบ (osteomyelitis) รักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 2 เดือน ใช้เงินกว่า 6,000 หยวน แต่ก็ไม่หายขาด บ้านของเขาค่อนข้างยากจน ก็เลยเขียนจดหมายถึง ปธน.สี จิ้นผิงเพื่อเล่าอาการ ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ปธน.สี จิ้นผิงก็ส่งเงิน 500 หยวนมาให้เขา บอกเขาว่าซื้อตัวรถไฟไปเมืองฝูโจว เพราะในตอนนั้น ปธน.สี จิ้นผิงทำงานในเมืองนี้
 .
ช่วงที่รักษาโรคที่เมืองฝูโจว ปธน.สี จิ้นผิงได้ไปเยี่ยมนายหลู่ โหวเซิง เกือบทุกเย็นหลังเลิกงาน และบอกกับเขาว่า “โหวเซิง ผมจะช่วยให้คุณหาย ไม่ว่าจะใช้เงินมากเท่าไหร่ผมก็ยอม” หลักจากรักษาโรคหายดีขึ้นแล้ว นายสี จิ้นผิงซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขา และยังให้เงินค่าเดินทางอีก 2,000 หยวนด้วย นายหลู่ โหวเซิงกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “จิ้นผิง ขอโทษจริงๆ ความเจ็บป่วยของผมในครั้งนี้ ใช้เงินของคุณตั้งหลายหมื่นหยวน” นายสี จิ้นผิงกล่าวตอบว่า “เราสองคนเป็นเพื่อนกัน”
 .
เมื่อปลายเดือนตุลาคมปี 1999 นายหลู่ โหวเซิงเดินทางไปทำการผ่าตัดตัดแขนขาที่เมืองไท่หยวนเมืองเอกมณฑลซานซี นายสี จิ้นผิงได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ก็รีบส่งค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดไปให้เขา และยังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการของท้องถิ่นให้ความช่วยเหลือ เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ นายหลู่ โหวเซิงซาบซึ้งใจและกล่าวพร้อมน้ำตาว่า “จิ้นผิงถือผมเป็นพี่น้อง เสียเงินและเสียเวลาอย่างมากเพื่อรักษาแขนขาของผม”
 .
ตอนที่ทำงานในหมู่บ้านเหลียง เจียเหอ นายสี จิ้นผิงเป็นหนึ่งในคณะของผู้รับผิดชอบในหมู่บ้าน เขาได้นำชาวบ้านในท้องถิ่น สร้างโรงเรียน สะพาน และทำให้หมู่บ้านนี้มีไฟฟ้าใช้ เขามีความผูกพันอันลึกซึ้งกับหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านในท้องถิ่นกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “จิตใจของนายสี จิ้นผิงจะอยู่กับหมู่บ้านเหลียงเจียเหอตลอดไป”
 
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 2
 
วันที่ 14 สิงหาคมปี 2004 นายสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน มณฑลเจ้อ เจียงในสมัยนั้นให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุและโทรทัศน์เอี๋ยนอาน ขณะตอบคำถามว่า มองตนเป็นชาวเอี๋ยนอานแท้หรือเปล่านั้น นายสี จิ้นผิงตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผมมองตนเป็นชาวเอี๋ยนอานแท้ เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิตผม แนวคิดพื้นฐาน ทุกอย่างที่เป็นผมในทุกวันนี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่เอี๋ยนอาน ผมจึงมองตัวเองเป็นชาวเอี๋ยนอานแท้โดยไม่ต้องสงสัย”
วันที่ 22 ธันวาคมปี 1968 เหมา เจ๋อตงเรียกร้องว่า “มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้บัณฑิตที่เป็นวัยรุ่นเดินทางไปอยู่ในชนบท ฝึกอบรมโดยเกษตรกรในทุกระดับ ” นักศึกษาทั่วประเทศจีน จำนวน 17 ล้านคน ตอบรับข้อเรียกร้องดังกล่าว เริ่มต้นออกเดินทาง เริ่มชีวิตในชนบท ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี ปธน. สี จิ้นผิงในวัยหนุ่มด้วย จุดเริ่มต้นของการเดินทางคือกรุงปักกิ่ง ไปถึงเมืองเอี๋ยนอาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการปฏิวัติจีน
 .
บัณฑิตวัยรุ่น 15 คนถูกจัดให้เดินทางไปทำงานที่เหลียงเจียเหอ ตอนนั้น ปธน. สี จิ้นผิงมีอายุน้อยที่สุดในบรรดานักศึกษา 15 คน
 .
ในขณะที่ชาวบ้านก็สังเกตวัยรุ่นที่เดินทางมาจากกรุงปักกิ่ง วัยรุ่นเหล่านี้ก็สังเกตชาวบ้านเช่นกัน
 .
ปี 2004 ปธน. สี จิ้นผิง ทบทวนความทรงจำเรื่องราวในสมัยนั้น ขณะให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุและโทรทัศน์เอี๋ยนอานว่า เรื่องที่คนในหมู่บ้านพูดถึงเขามากที่สุด มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เอาขนมปังเลี้ยงหมา เขาเล่าว่าตอนที่เก็บกระเป๋า พบขนมปังครึ่งชิ้นที่เอามาจากกรุงปักกิ่ง ซึ่งก็ขึ้นราแล้ว เลยโยนให้หมากิน ชาวบ้านตอนนั้นไม่เคยเห็นขนมปัง และไม่เคยกินด้วย เมื่อได้ยินจากปธน.สี จิ้นผิงว่า มันคือขนมปัง ชาวบ้านคาดไม่ถึงว่าจะเอาของดี ๆ ไปเลี้ยงหมาทำไม ก็เลยวิจารณ์ว่าบัณฑิตคนนี้ไม่รู้ถึงคุณค่าของอาหาร ข่าวลือไปทั่วหมู่บ้าน ท้ายที่สุดเป็นที่รู้กันทั่วอำเภอเอี๋ยนชวน
ในหนังสือเรื่อง “ผมเป็นบุตรชายดินเหลือง” นั้น สี จิ้นผิง รู้สึกผิดกับหลายเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ โดยเล่าว่า “ช่วงเดินทางไปทำงานที่หมู่บ้าน ผมอายุน้อย ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่ได้สังเกตเรื่องความสามัคคี คนอื่นเขาทำงานทุกวัน ผมกลับทำตามใจตัวเอง จึงทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยประทับใจผมนัก”
.
ความสามัคคีที่สี จิ้นผิงกล่าวนั้น มาจากการสั่งสอนของสี จ้งซุน ผู้เป็นบิดา “พ่อมักจะสั่งสอนความหมายของความสามัคคี เรียกร้องให้เราเป็นคนเน้นความสามัคคีและอยู่ร่วมกับคนอื่น การอยู่ร่วมกับคนอื่น หากถือตนเป็นใหญ่ในทุกเรื่อง ไม่ถูกต้องแน่นอน”
 .
เมื่อคิดถึงเรื่องความสามัคคีที่พ่อสอน ปธน.สี จิ้นผิง เริ่มปรับตัวเข้ากับชาวบ้าน เข้ากับชนบท และค่อย ๆ ฝังรากการอยู่ร่วมกันกับประชาชนด้วยความสามัคคี การอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างสามัคคีกลายเป็นหนึ่งในสไตล์การเป็นผู้นำที่โดดเด่นที่สุดของ ปธน.สี จิ้นผิง การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้ ปธน. สี จิ้นผิง พยายามลดช่องว่างระหว่างเด็กปักกิ่งกับเด็กชนบท
 .
สี จิ้นผิง ที่ไม่มี “นิสัยชาวเมือง” คุ้นกับวัยรุ่นในหมู่บ้านด้วยความรวดเร็ว เขามอบรองเท้าให้กับเพื่อน ๆ ยากจน บางทียังทำตัวเป็นช่างตัดผม ตัดผมให้วัยรุ่นในหมู่บ้าน บางทีทำตัวเป็นโค้ชสอนว่ายน้ำ สอนเพื่อน ๆ ฝึกว่ายน้ำด้วยท่ากบ ทำให้หวัน เซี่ยนผิง สือ ชุนหยาง อู่ ฮุย และจาง เว่ยเผิงกลายเป็นมิตรที่ดีของสี จิ้นผิง
 
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 3
 .
ชีวิตวัยรุ่นในชนบทต่างจากชีวิตในกรุงปักกิ่งมาก แต่ก็ยังถือว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าชาวบ้านในท้องถิ่น ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ชาวบ้านแต่ละคนมีอาหารสำหรับการบริโภค 10 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโควตาอาหารของบัณฑิตวัยรุ่นเหล่านี้
 .
ปธน.สี จิ้นผิงเคยรับประทานข้าวสวยมื้อหนึ่ง และก็เป็นมื้อเดียวที่ได้รับประทานข้าวสวยในชีวิตตลอด 7 ปีที่เหลียงเจียเหอ เพราะทางภาคตะวันตกของมณฑลส่านเป่ยในสมัยนั้น ข้าวสวยเป็นอาหารที่หากินได้ยาก แม้แต่ในเทศกาลต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ทาน และข้าวสวยชามนั้นก็มาจาก หลี่ อิ้นถาง
 .
สี จิ้นผิงสัมผัสถึงความอบอุ่นจากชาวบ้านเหลียงเจียเหอ โดยบอกว่า “เมื่อผมหิว ชาวบ้านทำอาหารให้ผม เมื่อเสื้อผ้าสกปรก ชาวบ้านช่วยซักให้ เมื่อกางเกงขาด ชาวบ้านช่วยเย็บให้……”
 .
สมัยนั้นในชนบทไม่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ การสร้างเขื่อนต้องอาศัยแรงคน ปูดินเป็นชั้น ๆ แล้วใช้ไม้กระทุ้งทับดินให้แน่น ซึ่งต้องใช้แรงมาก
 .
สมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรง ไม่มีถุงมือ สี จิ้นผิงก็ใช้มือจับไม้กระทุ้ง ทุบลงไปอย่างหนัก ทำงานทั้งวัน จนมือพองขึ้นเป็นตุ่มหนอง
 .
ขณะเดียวกันกับการร่วมงานการเกษตรต่าง ๆ สี จิ้นผิงก็พยายามพัฒนาความคิดจากทฤษฎีมาผสมผสาน
ในความทรงจำของชาวเหลียวเจียเหอ สี จิ้นผิงมักจะอ่านหนังสือหนาเท่าก้อนอิฐ อ่านหนังสือไปทานข้าวไป แม้จะเลี้ยงแกะตามภูเขา เขาก็ถือโอกาสอ่านหนังสือด้วย
 .
สี จิ้นผิงเคยอ่านวรรณกรรมรัสเซียหลายเรื่อง ท่านทบทวนในภายหลังว่า “คนรุ่นผมได้รับอิทธิพลมากจากวรรณกรรมรัสเซีย ผมอ่านวรรณกรรมเรื่องทำอย่างไร ของ นิโคไล เชอร์นิเชฟสกี (Nikolay Chernyshevsky) ที่บ้านถ้ำเหลียงเจียเหอ เพื่อฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง พระเอกในหนังสือเรื่องนี้นอนบนเตียงตะปู เลือดไหลทั้งตัว สมัยนั้น พวกเราเข้าใจว่าการฝึกความเข้มแข็งต้องฝึกแบบนี้ ก็เลยเอาฟูกออก นอนบนไม้กระดาน เมื่อฝนตก หิมะตก เราก็ออกจากบ้านฝ่าฝน ฝ่าหิมะ อาบน้ำเย็นข้าง ๆ บ่อน้ำ ทั้งนี้ล้วนเป็นเพราะว่าได้รับอิทธิพลจากหนังสือเล่มดังกล่าว”
 .
เมื่อผ่านช่วงสองสามปี ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ สี จิ้ผิงพูดสำเนียงภาษาเหยีนชวนได้คล่องแคล่ว ที่เหลียงเจียเหอมีชาวบ้านคนหนึ่ง ไม่เอาการเอางาน เกียจคร้าน มักจะขโมยของเล็ก ๆ น้อย ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาขโมยต้นหอมของส่วนรวม จึงถูกจับ ตามประเพณีท้องถิ่น จะจัดประชุมชาวบ้าน และให้ชาวบ้านหมุนเวียนกันด่าว่า สี จิ้นผิงไม่ได้ด่า แต่บอกเหตุผลเป็นข้อ ๆ และให้เขาแก้ไขนิสัยและข้อผิดพลาด เมื่อได้ยินแล้ว เขาก็พยักหน้ารับ
 .
การกระทำที่สอดคล้องกับหลักเหตุผลโดยทั่วไป ทำให้ชาวเหลียงเจียเหอ ยอมรับนับถือในตัวของนายสี จิ้นผิงในขณะนั้น และชื่นชมว่า “วัยรุ่นปักกิ่งเก่งนะ” หลังจากนั้น เหลียง ยี่ว์หมิง คุยเรื่องนี้กับสี จิ้นผิง สี จิ้นผิงกล่าวว่า “เขากระทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เป็นความผิดที่แก้ไขได้ เราควรอยู่กันด้วยความสามัคคี และใช้วิธีการสั่งสอนบอกกล่าวตักเตือนเป็นหลัก”
 .
เมื่อเวลาผ่านไป ที่พักของสี จิ้นผิงกลายเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ชาวบ้านชอบมาเที่ยวที่บ้านของสี จิ้นผิง คุยกันสนุกสนาน ฟังสี จิ้นผิงเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องแปลกใหม่ภายนอกเหลียงเจียเหอ สี จิ้นผิงจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเหลียงเจียเหอ
 
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 4
 
ตอนเดือนมกราคมปี 1974 ที่ราบสูงหวงถู่ (ดินเหลือง) ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน พี่น้องชาวเหลียงเจียเหอ เริ่มเตรียมการเพื่อฉลองตรุษจีน สี จิ้นผิง เพิ่งได้รับการเลือกตั้งให้เป็นเลขานุการพรรคคอมมิวนิสต์จีน สาขาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ฝ่ายกองการผลิต ในตอนนั้น นายสีจิ้นผิง คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าของเหลียงเจียเหอได้อย่างไร
 .
วันหนึ่ง ขณะที่สี จิ้นผิงพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ ได้พบรายงานข่าวสองชิ้นที่ลงในหนังสือพิมพ์เหรินหมิน ฉบับวันที่ 8 มกราคม ปี 1974 ข่าวที่ดึงดูดสายตาสี จิ้นผิงอย่างมาก มีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่มณฑลเสฉวน ซึ่งห่างจากเหลียงเจียเหอกว่าพันลี้ ชาวบ้านมีก๊าซชีวภาพใช้ ตอนนั้นนายสี จิ้นผิงคิดในใจว่า หากเหลียงเจียเหอสามารถใช้ก๊าซชีวภาพในการหุงข้าว ให้แสงสว่างได้ด้วยก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว
 .
สี จิ้นผิง เป็นคนคิดแล้วก็ทำทันที ท่านตัดสินใจเดินทางไปมณฑลเสฉวนเพื่อหาคำตอบ ระหว่างการดูงานที่มณฑลเสฉวน สี จิ้นผิงยิ่งมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ เมื่อกลับจากมณฑลเสฉวน สี จิ้นผิงได้ตัดสินใจผลิตก๊าซชีวภาพใช้ที่เหลียงเจียเหอ
 .
อุปสรรคมีมากมายเกินคาด อุปสรรคแรกก็คือจะสร้างบ่อทดลองที่ไหน ลานบ้านของชาวบ้านสร้างขึ้นด้วยดินที่ได้จากการขุดบ้านถ้ำ เนื้อดินเกาะตัวกันแบบหลวมๆ ไม่เหมาะที่จะสร้างบ่อก๊าซชีวภาพ ส่วนทางเดินทั้งในและนอกหมู่บ้านก็เกิดขึ้นจากการเดินย่ำของชาวบ้าน ซึ่งเป็นทางเดินเล็กๆ ที่คดเคี้ยว รถขนดินทรายก็ยังเข้าออกไม่ได้ แล้วจะขนส่งวัสดุก่อสร้างอย่างไร นอกจากนี้ชาวบ้านก็พักอาศัยอยู่ค่อนข้างห่างจากกัน เมื่อบ่อก๊าซชีวภาพสร้างเสร็จ จะส่งให้ถึงบ้านชาวบ้านอย่างไร และที่ยากที่สุดคือ ฝาปิดบ่อก๊าซชีวภาพต้องเป็นหินแผ่นหนาใหญ่ ซึ่งเหลียงเจียเหอไม่มีวัสดุแบบนี้
 .
ปัญหาอุปสรรคค่อยแก้ไปทีละข้อ การลงมือทำคือวิธีแก้ เมื่อไม่มีหินที่ต้องการ สี จิ้นผิงก็พาคนไปขุดโคลนหนากว่า 1 เมตร จนขุดพบก้อนหิน เมื่อไม่มีดินทราย ก็พาคนหนุ่มหลายคนไปขุดที่เฉียนหม่าโกว ซึ่งห่างจากหมู่บ้านกว่า 15 ลี้ แล้วแบกกลับมาเป็นถุงๆ เมื่อไม่มีปูนขาว ก็ขอความรู้จากช่างที่มีประสบการณ์ หาหินปูนไปทั่ว และสร้างโรงงานผลิตปูนขาวกันเอง
 .
ภายใต้ความตั้งใจและความพยายามของนายสี จิ้นผิง กลางเดือนกรกฎาคมปี 1974 บ่อก๊าซชีวภาพที่มีขนาดความจุประมาณ 8 ลูกบาศก์เมตรก็สร้างเสร็จ แต่ก็เร็วเกินไปที่จะดีใจ เพราะเมื่อท่อส่งก๊าซไม่มีก๊าซออกมา
ท้ายที่สุดพบว่าปัญหาอยู่ที่ท่อส่งก๊าซ สี จิ้นผิงจึงใช้ท่อนเหล็กแทงเข้าไปก็ยังคงไร้ผล จึงใช้แรงกระทุ้งเข้าไปอีกที ปรากฏว่ามีน้ำอุจจาระพ่นกระเซ็นออกมาใส่หน้า แล้วก็ตามมาด้วยเสียงก๊าซที่เริ่มดังขึ้น
 .
สี จิ้นผิงเพียงใช้มือเช็ดหน้าไม่ได้ลุกไปล้างทันที ใจยังคงจดจ่ออยู่กับการปรับแก้ท่อส่งก๊าซ หลังจากนั้นก็ลองเปิดเตาก๊าซชีวภาพ และพอจุดไฟ ภาพที่น่าประทับใจก็ปรากฏขึ้น มีเปลวไฟพุ่งขึ้นจากเตาสูงกว่า 30 เซนติเมตร ลุกโชติช่วงอย่างมีชีวิตชีวา
 .
เมื่อชาวบ้านเห็นข้อดีของการใช้ก๊าซชีวภาพจุดไฟและหุงข้าวแล้ว ก็มีความกระตือรือร้นในการสร้างบ่อก๊าซชีวภาพ
กิจการใหญ่ของโลกเริ่มต้นจากรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อย ๆ ประสบการณ์สร้างบ่อก๊าซชีวภาพมีอิทธิพลสำคัญต่ออนาคตของนายสี จิ้นผิง
 .
15 ปีให้หลัง สี จิ้นผิงได้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน และได้ทบทวนประสบการณ์ของตนว่า “เมื่อครั้งทำงานอยู่ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ อำเภอเหยียนชวน ทางตะวันตกของมณฑลส่านซี การทำให้ชาวบ้านได้รู้จักกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ แม้เป็นผลงานที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก แต่กลับทำให้สัมผัสถึงประโยชน์จากการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทุกครอบครัวหุงข้าวโดยไม่ต้องใช้ฟืน จุดไฟไม่ต้องใช้น้ำมัน รอยยิ้มบนใบหน้าชาวบ้านยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของปธน.สีจิ้นผิงมาจนถึงทุกวันนี้ ประสบการณ์ครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อนำความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาใช้ แก้ไขปัญหาปากท้องการดำรงชีวิต ก็จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”
 
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 5
 
นอกประตูบ้านถ้ำ อู่ฮุยวัย 14 ปี สวมชุดเก่าขาด ตัวเล็กผอมแห้ง และมีอายุอ่อนกว่าสีจิ้นผิงหนึ่งปี เป็นนักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ
 .
ตอนนั้นเข้าสู่ช่วงเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวจัด ภายในบ้านถ้ำหนาวเหมือนอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง เหล่าปัญญาชนหนุ่มสาวถามอู่ฮุยซึ่งยืนอยู่นอกประตูบ้านถ้ำว่า จุดไฟอุ่นเตียงนอนที่ก่อด้วยอิฐนี้เป็นหรือเปล่า อู่ฮุยตอบกลับทันควันว่า “ทำเป็นแน่นอน”
 .
หลังจากนั้น อู่ฮุยก็กลายเป็นแขกที่มาเยือนบ้านถ้ำของปัญญาชนคนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นประจำ ปี 1973 อู่ฮุยกับสีจิ้นผิงสมัครสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยพร้อมกัน ผลปรากฏว่า อู่ฮุยสอบติดวิทยาลัยครุศาสตร์เหยียนอัน ก่อนแยกจากกันไป สีจิ้นผิงได้มอบคูปองอาหาร 30 ชั่งและเสื้อคลุมขนสัตว์สีน้ำเงินให้กับอู่ฮุย ซึ่งเสื้อคลุมตัวนี้หวังเยี่ยนเซิงได้ยกให้กับสีจิ้นผิงก่อนไปจากเหลียงเจียเหอ สีจิ้นผิงกล่าวกับอู่ฮุยว่า “เอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปด้วย เมื่อถึงวิทยาลัยแล้วจะได้เอาไว้ใส่หรือจะใช้เป็นผ้าห่มก็ได้”
 .
สำหรับสีจิ้นผิง ซึ่งสมัครสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยปีเดียวกับอู่ฮุย กลับถูกมหาวิทยาลัยชิงหวาปฏิเสธเนื่องจากปัจจัยด้านครอบครัว สองปีให้หลัง ปี 1975 มหาวิทยาลัยชิงหวาได้ให้โควตารับนักศึกษา 2 คนแก่เมืองเหยียนอัน ซึ่งสองโควตานี้ให้กับอำเภอเหยียนชวนทั้งหมด สีจิ้นผิงจึงมีโอกาสสมัครสอบอีกครั้ง ครั้งนี้ โรงงานผลิตวัสดุป้องกันไฟเมืองลั่วหยาง ที่สีจ้งซวิน ผู้เป็นบิดาซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำและต้องไปทำงานนั้นออกหนังสือยืนยันว่า “ปัญหาของสหายสีจ้งซวินเป็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการหางานทำของบุตร” หนังสือยืนยันนี้เป็นเสมือนใบอนุญาตผ่าน “ด่านตรวจสอบทางการเมือง” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญที่ดูยากจะข้ามผ่านได้
 .
ใกล้ถึงเวลาเปิดเรียนแล้ว สีจิ้นผิงยังยุ่งกับงานต่างๆ ในหมู่บ้าน และพิจารณาหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอแทนตนเอง
 .
สุยหวา เป็นชื่อเล่นของสือชุนหยาง เขาเป็นคนซื่อๆ เมื่อครั้งที่สีจิ้นผิงได้รับเลือกเป็นเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ก็ได้เสนอชื่อให้สือชุนหยางดำรงตำแหน่งกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้านด้วย แน่นอนว่าสือชุนหยางเป็นผู้ที่เหมาะสมในสายตาสีจิ้นผิง หลายวันผ่านไป สีจิ้นผิงเรียกประชุมสมาชิกพรรคฯ และเมื่อใกล้จบการประชุมแล้ว ท่านพูดว่า “ผมจะไปแล้ว งานเลขาฯ นี้ใครจะเป็นผู้รับช่วงต่อ เราต้องออกเสียงกัน สำหรับผมขอเสนอชื่อ สุยหวา” ปรากฏว่าทุกคนต่างเห็นชอบให้สุยหวามารับหน้าที่ต่อ สือชุนหยางกล่าวว่า “ผลการลงคะแนนนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผมดีเด่นอะไรมากมาย แต่เพราะว่าคนในหมู่บ้านเชื่อมั่นในสีจิ้นผิง เมื่อเขาเสนอชื่อผม คนอื่นก็เลยเลือกผม”
 .
มีอีกเรื่องหนึ่งทำให้สือชุนหยางประทับใจมาก
 .
สีจิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาฯ พรรคฯ สาขาหมู่บ้านได้ไม่นาน ทางหมู่บ้านได้รับอาหารสงเคราะห์ แต่จะแบ่งสรรอย่างไรนั้น ยังมีความเห็นขัดแย้งมาก สีจิ้นผิงรู้ว่าชีวิตของชาวบ้านแต่ละคนล้วนไม่ง่าย จึงกล่าวว่า “เราไปตระเวนดูตามบ้านของแต่ละครอบครัว ใครควรได้มากได้น้อยก็จะรู้ได้เอง”
 .
วันนั้นตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 5 สีจิ้นผิงพาสหายทั้งหลายไปเยี่ยมทุกครัวเรือน และได้ทราบถึงสภาพที่เป็นจริงของแต่ละบ้าน หากครอบครัวไหนมีความเป็นอยู่ที่ขัดสนมากก็แบ่งให้มาก ซึ่งทุกคนต่างก็ยอมรับด้วยดี
 .
เรื่องนี้ทำให้สือชุนหยางประทับใจมาก เขาพูดว่า “การทำงานที่เข้มงวดรอบคอบเช่นนี้ ทำให้ใครก็ไม่อาจจะฉวยโอกาสเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้ หากคนเราเห็นแก่ตัว ก็ไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่อย่างยุติธรรมได้ ชาวบ้านก็จะไม่เชื่อมั่น มีเพียงการลงมือปฏิบัติที่เป็นไปอย่างยุติธรรมและแก้ปัญหาได้จริง ทุกคนจึงจะยอมรับ”
วันที่ 7 ตุลาคม ปี 1975 เป็นวันที่สีจิ้นผิงต้องลาจากเหลียงเจียเหอ เช้าวันนั้น เมื่อท่านเปิดประตูบ้านถ้ำ พบว่าลานหน้าบ้านและริมทางเดินมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และผู้สูงอายุ คนทั้งหมู่บ้านมาส่งท่าน บ้างถือพุทรา บ้างถือข้าวฟ่าง มายืนรออยู่เงียบๆ สีจิ้นผิงเห็นแล้วก็น้ำตาไหลทันที
 .
วันนั้น คนในหมู่บ้านไม่มีใครปีนเขาไปทำไร่ ต่างมายืนต่อแถวคอยส่งสีจิ้นผิงเป็นระยะทางถึงกว่า 10 ลี้
 
หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในความผูกพันกับปธน.สีจิ้นผิง ตอนที่ 6
 
การปฏิรูปและเปิดประเทศทำให้ชาวบ้านเหลียงเจียเหอมีชีวิตที่ดีขึ้น
หลิวรุ่ยเหลียน เป็นเด็กที่น่าสงสาร มีชีวิตที่ลำบาก ในความทรงจำวัยเด็กของเธอ ฤดูร้อนทุกปี เธอกับน้อง ๆ ไม่เคยมีรองเท้าใส่ พี่น้องสี่คนห่มผ้าห่มผืนเดียว แม้จะแค่ทานหมั่นโถวแป้งขาว ก็ดูเหมือนว่าเป็นความหวังที่มากเกินควร
เมื่ออายุ 17 ปี หลิวลุ่ยเหลียงแต่งงานกับ กุ่งเจิ้งฝูในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ชีวิตหลังแต่งงานก็ยังคงลำบากยากแค้นเหมือนเดิม
 .
ตั้งแต่สีจิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้านเหลียงเจียเหอแล้ว ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตเหล็ก ร้านจัดจำหน่าย และโรงงานปักเย็บ ซึ่งโรงงานปักเย็บนั้นจะคัดเลือกผู้หญิงสามคนไปทำงาน หลิวรุ่นเหลียนคาดไม่ถึงว่าตนเองได้รับการเลือก ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน
 .
ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1984 หลิวรุ่ยเหลียนได้ยินคำว่า “แต่ละครอบครัวจะรับเหมาการผลิต” เป็นครั้งแรก เธอไม่ทราบว่า การปฏิรูปจะทรงอิทธิพลกับชนบททั่วประเทศจีน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
 .
อย่างที่ชาวบ้านภาคเหนือของมณฑลส่านซี ครอบครัวหลิวรุ่ยเหลียนมีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะความขยัน กินอิ่มแล้วแต่ยังขาดเงินใช้ เมื่อเห็นว่าคนอื่นออกจากชนบทไปทำงานตามเมืองต่าง ๆ หลิวลุ่ยเหลียนก็คิดจะเข้าเมืองทำงานด้วย เมื่อว่างจากการทำนา เธอกับสามีก็เดินทางมายังอำเภอเอี๋ยนชวน ห่อไอศกรีมแท่ง และทำงานอิสระบ้าง ชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้น คนเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็นแรงงานเกษตรกรรุ่นแรกของเหลียงเจียเหอ
 .
การปฏิรูปนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชนิดไม่เคยมีมาก่อนให้กับชนบท ส่วนการเปิดกว้างทำให้การเปลี่ยนแปลงมีความเป็นไปได้ทั้งที่มีข้อจำกัด
 .
ปี 1993 สีจิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมืองฝูโจว ในสมัยนั้น กลับมาเยี่ยมเหลียงเจียเหอ พบว่าชาวบ้านไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินอีกแล้ว ท่านก็ดีใจด้วย การอิ่มท้องเคยเป็นความฝันของท่านและชาวบ้านเหลียงเจียเหอ เมื่อเห็นว่าแต่ละครัวเรือนล้วนมีอาหารเหลือเฟ้อ ท่านจึงดีใจมาก
 .
ปี 1999 เป็นปีสำคัญในประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเหยียนอัน ภายใต้การผลักดันนโยบายการคืนที่นาให้เป็นป่าไม้นั้น เมืองเหยียนอัน ตกลงคืนที่นาเอียงลาดบนเนินเขาที่มีระดับความเอียงลาดมากเกิน 25 องศา ให้เป็นที่สำหรับปลูกต้นไม้ทั้งหมด เป็นการเริ่มการปฏิรูปสีเขียวในเมือง
 .
ตั้งแต่ดำเนินนโยบายการคืนที่นาให้เป็นป่าไม้เมื่อปี 1999 เป็นต้นมา เมืองเหยียนอันคืนที่นากว่า 10 ล้านเฮกตาร์ ให้เป็นป่าไม้ เมืองเหยียนอันจึงเปลี่ยนจากเมืองสีเหลืองเป็นเมืองสีเขียว
 .
วันที่ 28 สิงหาคมปี 1999 สีจิ้นผิงตอบจดหมายถึงชาวบ้านเหลียงเจียเหอว่า เมื่อได้ทราบว่าภูเขาเหลียงเจียเหอเปลี่ยนเป็นสีเขียว แม่น้ำลำธารที่เหลียงเจียเหอใสสะอาด ก็รู้สึกดีใจมาก ท่านให้กำลังใจในจดหมายตอบว่า ภายใต้การชี้นำที่ถูกต้องของนโยบายการพัฒนาประชาชนให้ร่ำรวยของพรรค ภายใต้การชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้านและคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำหมู่บ้าน และชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน ชีวิตของเราจะดีขึ้นในทุกวัน
 .
ชาวเหลียงเจียเหอเริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น มีเงินทอง พวกเขาให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกหลาน ต่างส่งลูกหลานรับการศึกษาที่โรงเรียนตำบลหรืออำเภอซึ่งมีคุณภาพการเรียนการสอนที่ดีกว่า และมีนักเรียนสอบติดมหาวิทยาลัยกว่า 10 คนแล้ว
 .
ปี 2017 รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อคนของเหลียงเจียเหอ มากถึงปีละ 20,825 หยวน เพิ่มขึ้น 15.7%เมื่อเทียบกับปี 2016
 .
เหลียงเจียเหอได้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ สหกรณ์การเลี้ยงหมู สหกรณ์ปลูกแอปเปิ้ล โรงงานผลิตสินค้าเบ็ดเตล็ด และเกสต์เฮาส์ชาวบ้าน รูปแบบธุรกิจต่าง ๆ ทำให้เหลียงเจียเหอเข้าสู่หนทางการพัฒนาในรูปแบบใหม่
Chinese President Xi Jinping, also general secretary of the Communist Party of China (CPC) Central Committee and chairman of the Central Military Commission (CMC)
 
วันที่ 18 ตุลาคมปี 2017 ชาวบ้านเหลียงเจียเหอ ชุมนุมกันที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาหมู่บ้าน ด้วยความตั้งใจว่าการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 จะเปิดขึ้นด้วยความสำเร็จ
 .
เหลียงเจียเหอเคยเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของจีน เคยเป็นหมู่บ้านที่สร้างความฝัน ทุกวันนี้กลายเป็นหมู่บ้านที่ฝันเป็นจริงขึ้นแล้ว