การประชุมผ่านระบบ virtual ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจีน

0
7

การประชุมผ่านระบบ virtual ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจีน
ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันที่ 15 พฤศจิกายน (ตามเวลาสหรัฐฯ) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโจ ไบเดนและประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิงได้เข้าร่วมประชุมแบบ virtual meeting โดยมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ความร่วมมือของสองฝ่าย การประชุมครั้งนี้ได้รับการจับตาเพราะถือเป็นการพูดคุยท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ ซึ่งทวีความเข้มข้นเพราะกรณีไต้หวัน ทิเบต ฮ่องกง สงครามการค้า ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับโรคระบาด ฯลฯ

แม้จะเป็น virtual meeting แต่ประชุมนี้ถือเป็นการพบกันครั้งแรกของสองผู้นำหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

virtual meeting ดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการประชุมครั้งก่อนหน้าอย่างการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำทั้งสองในวันที่ 10 เดือนกันยายน (ตามเวลาสหรัฐฯ) ตามมาด้วยการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงโดยเฉพาะการประชุมแบบเผชิญหน้านำโดยนายหยาง เจียฉือ สมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ชุดที่ 19 กับนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา วงเจรจาครั้งนั้นนำไปสู่ข้อสรุปว่า จีนและสหรัฐฯ จะดำเนินการพูดคุยอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ บทสนทนาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงครั้งปัจจุบันจึงเป็นดั่งสัญญาณความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจในยามที่ความบาดหมางขยายตัว

ระหว่างการประชุมประเด็นหารือหลายอย่างถูกหยิบยกขึ้นมาตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดกันไว้ ในฝั่งจีนประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเรียกร้องให้จีนและสหรัฐฯ พัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรโดยจะต้องถือหลัก 3 ประการ ประกอบไปด้วย

– การเคารพซึ่งกันและกัน
– การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
– การแสวงหาความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

จากนั้นประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแสดงความหวังว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะอาศัยบทบาทผู้นำผลักดันให้สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายที่สมเหตุสมผลต่อจีน ไม่เช่นนั้นทั้งจีนและสหรัฐฯ จะประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้ฝ่ายจีนย้ำชัดว่า สหรัฐฯ ต้องไม่นำเรื่องสิทธิมนุษยชนมาตัดสินกิจการภายในของจีนและไม่ล้ำเส้นในเรื่องเอกราชของไต้หวัน

ทางประธานาธิบดีโจ ไบเดนจึงให้วาจาจะไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ทั้งยังแสดงความเห็นเชิงสร้างสรรค์ต่อกรณีสหรัฐฯ และจีน เพราะในสายตาสหรัฐฯ มันเป็นความรับผิดชอบของทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่จะป้องกันไม่ให้การแข่งขันระหว่างกัน พัฒนาไปเป็นความขัดแย้ง การแข่งขันนั้นอาจเดินหน้าต่อไปแต่ต้องตรงไปตรงมาและไม่มีอะไรซับซ้อน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังเสนอให้จีนและสหรัฐฯ ร่วมกันสร้างมาตรการบางอย่างเพื่อเลี่ยงความไม่ลงรอยพร้อมกับดึงให้สองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันในประเด็นสำคัญอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก

อย่างไรก็ดีจุดสำคัญสำหรับนานาประเทศคือบทสนทนาที่เกี่ยวเนื่องกับประชาคมโลก ในส่วนของฝ่ายจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงสัญญาจะส่งเสริมตลาดเพื่อสร้างโอกาสทางการค้าแก่ประเทศอื่น ๆ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยึดคำมั่นจะไม่ดำเนินการใด ๆ ที่อาจนำไปสู่สงครามเย็นยุคใหม่และไม่นำการค้ามาเป็นชนวนแตกแยก

ในทางตรงข้ามจีนกับสหรัฐฯ ควรร่วมมือกันในเรื่องความมั่นคงทางพลังงานรวมทั้งปัญหาสาธารณสุขอย่างโรคระบาด ความร่วมมือระหว่างกันควรได้รับการส่งเสริมเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ก่อนความสัมพันธ์จะพังทลาย

ฝั่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนตอบสนองข้อเรียกร้องของจีนด้วยทัศนะว่าสหรัฐฯ ไม่มีความประสงค์จะสร้างข้อขัดแย้งกับจีน ทั้งยังไม่แสวงหาหนทางที่จะเปลี่ยนระบบของจีนและไม่คิดจะสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อต่อต้านจีน

ทางฝ่ายประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเองก็กล่าวว่าจีนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ในเรื่องการพัฒนาเพียงเพื่อให้สอดรับกับจีน

การประชุมครั้งนี้ช่วยบรรเทาความตึงเครียดลงไปได้ในระดับหนึ่งด้วยทั้งสองฝ่ายแสดงความประสงค์จะเลี่ยงความไม่ลงรอยพร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาในกรอบความร่วมมือกับสันติภาพ นี่ชี้ว่าความขัดแย้งในสายตาของทั้งจีนกับสหรัฐฯ ไม่อาจจบลงชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ผู้ชนะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดย่อมประสบความเสียหายเกินกว่าจะประเมิน

กระนั้นจีนในทุกวงเจรจาไม่เคยเปลี่ยนแปลง จีนยื่นข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพแนวทางในการพัฒนาของจีนรวมไปถึงวิธีสร้างเครือข่ายทางการค้า แม้จีนมุ่งหวังจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจยุคใหม่ จีนก็ไม่ได้ตั้งใจจะแทนที่ขั้วอำนาจเดิม เพียงแต่วางตัวประหนึ่งทางเลือกเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ จีนจึงหนักแน่นในเรื่องของความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอันสื่อนัยจะไม่มีใครถูกกีดกันออกไปจากการเติบโตของจีน ในเวลาเดียวกันจีนไม่ต้องการให้ชาติใดมาก้าวก่ายโดยอ้างบรรทัดฐานสากลอย่างประเด็นสิทธิมนุษยชน โลกาภิวัตน์สำหรับจีนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทว่าโลกาภิวัตน์ไม่ได้หมายว่า ทุกชาติต้องยึดระเบียบแบบเดียว ทุกอย่างสามารถเป็นไปบนพื้นฐานความหลากหลาย การอยู่ร่วมกันต้องมาจากการยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การบังคับให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบกติกาเดียว

ความหนักแน่นในเรื่องข้างต้นเป็นที่กระจ่างชัดสำหรับสหรัฐฯ หลังจากมีแนวโน้มว่า คณะผู้บริหารระดับสูงพรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งมั่นจะสานต่อแนวทางที่เคยเป็นมา ความหนักแน่นของจีนเป็นผลมาจากปัจจัยผสมผสานสามประการ อย่างแรกคืออุดมการณ์ที่ต้องการจะเฉิดฉายในทางการเมืองระหว่างประเทศอีกคำรบ อย่างที่สองคือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ยุคล่าอาณานิคม จีนโดนรุมทึ้งโดยมหาอำนาจจนกลายสภาพเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย วิธีป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอยมีเพียงการฟื้นความแกร่ง อย่างที่สามว่าด้วยศักยภาพของจีนเอง แบ่งเป็นศักยภาพในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร โดยจีนมีทั้งปริมาณเงินและระบบการค้าอันเฟื่องฟู สายสัมพันธ์กับหลายชาติมหาอำนาจก็ไม่ด้อยไปกว่าสหรัฐฯ ขณะที่การทหารจีนถือว่า ล้ำหน้าไปจากในอดีตมาก จึงไม่มีเหตุผลที่จีนจะดับเส้นทางฝันเพียงเพราะแรงกดดันอย่างสงครามการค้า หรือ การสร้างภาพไม่พึงประสงค์ เมื่อแนวทางชัดเจนเช่นนี้ การเปลี่ยนจีนจึงไม่ใช่หนทางของฝ่ายใด ฉันใดฉันนั้นสหรัฐฯ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจีนในแบบที่ปรากฏ เพียงแต่ว่าการเรียนรู้ของสหรัฐฯ จะเป็นไปแบบชั่วคราว หรือ ตลอดไปยังเป็นเรื่องต้องติดตาม