ตาม ป้าง เฌอศานต์ ศรีสัจจัง นักข่าว x นักเดินทาง
นั่งรถไฟจีน-ลาว เที่ยวเวียงจันทน์-หลวงพระบาง
ป้าง เฌอศานต์ ศรีสัจจัง เป็นผู้ประกาศข่าวและนักข่าวช่องไทยพีบีเอส ผู้รักการเดินทางและชื่นชอบเรื่องการบินเป็นชีวิตจิตใจ มักจะมีข่าวเจาะลึกในแวดวงการบินและการเดินทางมาฝากแฟนๆ อยู่เสมอ เมื่อป้างไปเที่ยวลาวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังลาวเปิดประเทศ และได้ไปลองสัมผัสกับรถไฟจีน-ลาวเป็นครั้งแรก จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ติดตามประสบการณ์การเที่ยวลาวในอีกมุมของป้าง กับทริป 3 วัน 2 คืนนั่งรถไฟจีน-ลาว กับทริป เวียงจันทน์ – หลวงพระบาง – เวียงจันทน์
วางแผนทริปนี้อย่างไรบ้าง
ป้าง : ตั้งใจอยากไปนั่งรถไฟอยู่แล้ว ไปมาตอนต้นเดือนมิถุนายน หลังลาวเปิดประเทศได้ 1 เดือนพอดี ตอนนั้นคนไทยยังไปไม่เยอะด้วย เห็นรถไฟน่าจะไปได้ถึงบ่อเต็น อุดมไชย แต่ยังไม่รู้ว่ามีที่เที่ยวอะไร ทริปนี้เลยวางแผนไปที่หลวงพระบางก่อน เพราะหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก เคยไปช่วงก่อนโควิด เลยอยากรู้ว่าหลังจากเค้าเปิดประเทศมาได้ 1 เดือน บรรยากาศเป็นอย่างไร ทริปนั่งรถไฟครั้งแรกอยากนั่งรถไฟจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบางก่อน เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองสำคัญของลาว
จองตั๋วอย่างไร
ป้าง : ตอนที่ผมไปการจองตั๋วยังต้องผ่านเอเจ้นท์อยู่ เราไม่สามารถจองเองผ่านทางออนไลน์ในระบบการรถไฟจีนได้ ซึ่งการจองจะเปิดล่วงหน้าไม่กี่วัน คือไปจองที่ตัวแทนจำหน่ายที่มีศูนย์อยู่ในตัวเมืองเวียงจันทน์ หรือไม่ก็ไปที่สถานีรถไฟเลย แล้วต้องดูเวลาเปิดทำการของสถานีรถไฟด้วยว่าเปิดให้จองกี่โมง เขาเปิดให้จองล่วงหน้า 3-4 วันเท่านั้น
การจองเราไม่สามารถระบุที่นั่งได้ มันเป็นระบบที่เขาสุ่มจัดให้ เราบอกได้แค่ว่าเราจะจองชั้นไหน มี 3 คลาส คือ business class ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสองราคาถูกสุด คนจะแย่งกันมากที่สุด ชั้นสองจะเต็มก่อน แล้วไล่มาที่ชั้น 1 และ business class ซึ่ง business class 1 ขบวนมีแค่ 15 ที่นั่ง แล้วราคาค่อนข้างแพง คนก็จะไม่ค่อยแย่งกัน ตอนที่ผมจองก็เหลือแต่ business class ก็เลยตัดสินใจว่า ไป business อยากลองด้วย business ราคาประมาณ 700,000 กีบ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1600 – 1700 บาทต่อเที่ยว ถ้าเทียบกับตั๋วเครื่องบิน ลาวแอร์ไลน์ กับลาวสกายเวย์ ตั๋วเครื่องบินจากหลวงพระบางมาเวียงจันทน์ 2,000 บวกๆ ดังนั้นไม่ต่างกันเท่าไร และการเดินทางก็ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งไม่ต่างจากเครื่องบินที่ต้องไป check in ล่วงหน้า
ทริปนี้ไป 3 วัน 2 คืน มีเวลาศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ คือขาไปนั่ง business แต่ขากลับไม่อยากนั่ง business แล้ว อยากลองชั้นอื่นบ้าง ก็เลยได้ตั๋วชั้น 2 มา ก็ไม่ได้แพลนอะไรมาก กะไปชิวๆ ที่หลวงพระบาง แต่ที่ตั้งใจทริปนื้คือมานั่งรถไฟโดยเฉพาะ อยากรู้ว่าบริการเป็นยังไรบ้าง
ถึงวันเดินทาง ไปที่สถานีรถไฟ เล่าให้ฟังหน่อยว่าสถานีรถไฟจีน – ลาว เป็นอย่างไร
ป้าง : พอไปถึงรถไฟไม่ได้มีเที่ยวเยอะ เช้าเที่ยวนึง เย็นเที่ยวนึง ตอนไปผมเป็นรอบ 16.05 นาที ซึ่งตอนนี้เค้าขยับเวลามาเป็น 15.05 แล้ว เพิ่งเปลี่ยนเวลา พอไปถึงตรงหน้าสถานีจะมีจุดตรวจบัตรโดยสาร คือถ้าไม่มีบัตรโดยสารจะไม่สามารถเข้าไปในสถานีได้เลย ต้องอยู่ข้างนอกเท่านั้น ตรวจบัตรโดยสารกับใบยืนยันการฉีดวัคซีน ตรวจเข้มมาก ตรวจจริงจัง ว่าโดสที่ 1 2 3 คุณฉีดอะไรบ้าง แล้วเค้าดูตามใบฉีดวัคซีนเลยว่าตรงกันรึเปล่า
พอเข้าไปก็ต้องไปตรวจความปลอดภัยเหมือนเครื่องบิน ซึ่งอาจจะเข้มกว่าเครื่องบินด้วยซ้ำ เพราะสเปรย์แอลกอฮอล์เอาเข้าไม่ได้ ทิ้งทั้งหมด ต้องทิ้งกันเยอะมาก ทั้งสเปรย์แอลกอฮอล์ เจล ของเหลว ไม่ให้เอาเข้าเลย แต่ขวดน้ำเอาเข้าได้ เขามีจุดให้กดน้ำข้างใน พอเข้าไปแล้ว ก็ไปนั่งรอ ตรงที่นั่งรอจะแบ่งเป็น 2 ส่วน สำหรับ business class จะมีเหมือนเลานจ์แยกออกไป ในเลานจ์จะมีห้องน้ำ มีน้ำดื่ม ตอนนี้ขนมไม่มีเพราะเป็นช่วงโควิด แต่ต่อไปน่าจะมีขนมบริการ ส่วนข้างนอกจะเป็นที่นั่งผู้โดยสารชั้น 1 ชั้น 2 นั่งรอกันทั่วไป มีแอร์ อากาศไม่ร้อน เป็นสถานีรถไฟที่ออกแบบมาดีเหมือนกัน
ตัวสถานีน่าจะถอดแบบมาจากจีน อย่างห้องน้ำ 10 ห้อง มีอยู่ 8 ห้องก็จะเป็นนั่งยอง มีชักโครก 1-2 ห้อง น้ำดื่มก็เหมือนกัน ที่เวียงจันทน์จะมีน้ำเย็น แต่ที่หลวงพระบางเห็นเป็นน้ำร้อนทั้งหมดไม่มีน้ำเย็น น่าจะเป็นวัฒนธรรมจีนที่ดื่มน้ำร้อนกัน ไม่มีน้ำเย็นให้กด เราก็ต้องปรับเหมือนกัน ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่เมืองจีนเลย ทุกอย่างเหมือนเป็นวัฒนธรรมของจีน
การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง
ป้าง : ก่อนรถออก 15 นาที ถ้าเป็นผู้โดยสารชั้นธุรกิจก็จะได้ขึ้นรถไฟก่อน เหมือนเครื่องบิน แล้วเชิญผู้โดยสารชั้น 2 ชั้น 1 ขึ้นตาม ซึ่งผมได้ลองทั้ง 2 แบบ ผมว่ามันไม่ได้ต่างอะไรกันมากหรอก เพราะยังไงรถไฟก็ออกพร้อมกัน พอไปนั่งแล้ว ถ้าเป็นชั้น business จะมีพนักงานมาแนะนำตัว แนะนำบริการว่า สามารถสั่งเครื่องดื่มได้ มีซอฟท์ดริงก์ น้ำเปล่า แต่ไม่มีน้ำก้อน ไม่มีน้ำแข็ง ดังนั้นน้ำอัดลมก็ต้องกินในเวอร์ชั่นอุณหภูมิห้อง น้ำเปล่าก็ไม่มีน้ำแข็ง ในรถไฟก็เป็นตู้น้ำร้อนอีกเหมือนกัน คงเป็นสไตล์ที่เขาออกแบบมา
ขบวนที่ผมนั่งเป็นขบวนที่วิ่งจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบางโดยตรง รถออกตอนเย็น ซึ่งจะแวะสถานีวังเวียงสถานีเดียว ออกจากเวียงจันทน์ 16.05 ตรงเวลา ถึงวังเวียงเป๊ะ ไปถึงหลวงพระบางก่อนเวลา 2-3 นาที ส่วนขากลับจากหลวงพระบางมาเวียงจันทน์ รถออกตรงเวลาเป๊ะๆ และผมถึงเวียงจันทน์ก่อนเวลา 10 กว่านาที
ระหว่างทางจากเวียงจันทน์-หลวงพระบางเป็นอย่างไร
ป้าง : ผมพูดได้เลยว่ามันจะเป็นจุดขายมากๆ สำหรับเส้นทางรถไฟนี้ ก่อนจะไปผมเห็นคนเอาภาพมาแชร์ว่า ทางรถไฟเส้นนี้จะสวยมาก ผมยังคิดว่าก็คงสวยตอนทางที่ขึ้นเหนือๆ ไปแล้วรึเปล่า ช่วงเหนือของลาวเข้าประเทศจีน แต่จริงๆ คือมันสวยตั้งแต่ออกจากเวียงจันทน์ไปแป๊บเดียว สักครึ่งชั่วโมง ภาพของหมู่บ้าน คน ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภูเขา ภูเขาลาวเป็นภูเขาหินปูน ช่วงที่ผ่านวังเวียงมีหมอกจากไอฝน สวยมาก ทุกคนอู้หู ลุกขึ้นไปถ่ายรูปกันเต็มเลย วิวมันสวยมาก สวยจริงๆ ทำไมสวยขนาดนี้ พอเลยวังเวียงไปแล้ว จะมีอุโมงค์เยอะเหมือนกัน แต่ก็คุ้มที่จะได้เห็นวิวสวยๆ เป็นจุดขายสำหรับนักท่องเที่ยวว่า นั่งรถไฟได้เห็นวิว ถ้านั่งเครื่องบินมันถ่ายแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
จากสถานีเข้าเมืองอย่างไร
ป้าง : สถานีเวียงจันทน์ก็อยู่นอกเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร เช่นเดียวกับหลวงพระบางก็อยู่นอกเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร แต่เขาจะมีรถขนส่งสาธารณะรอรับ อย่างที่หลวงพระบางจะมีรถของ Laos China Railway มารับเป็นรถตู้ ซึ่งวันนั้นผมเหมาประมาณ 200,000 กีบ ประมาณ 500 กว่าบาท แต่ถ้าไม่เหมา น่าจะประมาณคนละ 100 บาท เข้าเมืองไม่ได้ยาก แต่ราคายังแพงอยู่นิดนึง
ทริปนี้มีเรื่องอะไรประทับใจบ้าง
ที่ประทับใจคือตอนแรกกังวลเรื่องห้องน้ำว่าจะสะอาดรึเปล่า แต่ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีคนเข้าห้องน้ำออกมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเช็ดครั้งนึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงโควิดรึเปล่า แต่พอมีคนเข้าไป เขาจะยังไม่ให้เราเข้า เขาจะทำความสะอาดก่อน ทำดี ดูสะอาด ประทับใจ
รอบนี้ได้เที่ยวลาวแล้ว ถ้าจีนเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า สนใจนั่งรถไฟไปเที่ยวจีนไหม
ป้าง : ถ้านั่งไปจีนต้องมีเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง ถ้าจะไปถึงคุนหมิง อย่างรอบนี้ลองนั่งจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง 2 ชั่วโมง รู้สึกว่าเวลาเร็วมาก ทุกอย่างสบาย ชั้น 2 ก็นั่งสบาย มีที่วางขา leg room ที่วางของ เก็บของ ข้างบน ข้างใต้ที่นั่ง มีปลั๊กไฟ ที่ตั้งไอแพด มันออกแบบสำหรับการเดินทางนานๆ ได้ ไม่น่าเบื่อ และคิดว่านั่งสบายแน่นอน ไปถึงจีนได้สบาย ถ้าเกิดว่าพรมแดนเปิดแล้ว ก็น่าจะวางแผนเดินทางขึ้นไป เพราะพอไปถึงคุนหมิงแล้ว สามารถเดินทางไปต่อ ไปต้าลี่ ลี่เจียง แชงกรีล่า ซึ่งสวยมาก มันได้เที่ยวตั้งแต่ขึ้นรถไฟแล้ว ไม่ต้องไปถึงจุดหมาย ก็ถือว่าได้เที่ยวแล้ว
ทริปรถไฟจีน-ลาวของป้างทริปนี้ น่าจะช่วยกระตุ้นต่อมการเดินทางให้หลายๆ คน อยากเก็บกระเป๋าออกเดินทางกันแล้ว ว่าแล้วก็ลองวางแผนกันเลย
บทสัมภาษณ์ : ประวีณมัย บ่ายคล้อย
ภาพ : เฌอศานต์ ศรีสัจจัง