การใช้ระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนเป็นอำเภอแรก – เส้นทางสีจิ้นผิง(5)

0
8
การใช้ระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนเป็นอำเภอแรก – เส้นทางสีจิ้นผิง(5)
คืนหนึ่งในเดือนเมษายนปี 1982 นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง ได้ประชุมลับกับเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนซึ่งรวมถึงจาง เฉิงฟาง หัวหน้าทีมนโยบายชนบทของแผนกเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของคณะกรรมการพรรคฯประจำอำเภอเจิ้งติ่ง เพื่อมอบหมายภารกิจลับแก่พวกเขาคือไปเรียนรู้ประสบการณ์ระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนของหมู่บ้านเสี่ยวกังจากอำเภอเฟิ่งหยาง มณฑลอานฮุย และนำกลับมาใช้
ระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนหมายถึงเกษตรกรมีสิทธิในการบริหารจัดการที่ดินแต่กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของส่วนรวม ตามสัญญาที่ลงนามโดยทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสิทธิ ความรับผิดชอบและผลประโยชน์ เกษตรกรจะวางแผนกิจกรรมการผลิตต่างๆ ด้วยตนเอง ส่วนผลผลิตต้องส่งมอบแก่ภาครัฐและส่วนรวมตามกำหนด ส่วนที่เหลือทั้งหมดตกเป็นของเกษตรกร พูดง่ายๆ คือทำมากได้มากแต่ในขณะนั้นระบบนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของจีนมาก
ที่หมู่บ้านเสี่ยวกัง อำเภอเฟิ่งหยาง มณฑลอานฮุย ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 700 กิโลเมตรจากเจิ้งติ้งได้ทำระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว แต่ที่เจิ้งติ้งไม่ได้ทำเนื่องจาก “ระดับมณฑลไม่ได้ให้แนวทาง ระดับเขตไม่ได้สั่งการอะไร” แต่นายสี จิ้นผิงมองว่าหากใช้ระบบนี้กับอำเภอเจิ้งติ้งน่าจะเป็นการสร้างความกระตือรือร้นของเกษตรกรและยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปลดปล่อยกำลังการผลิตในชนบท เพราะที่ผ่านมาการทำงานของชาวบ้านในอำเภอมักจะมีลักษณะที่ทำไปวัน ๆ ขาดความกระตือรือล้น แบบหลายสิบคนลากรถคันเดียว เนื่องจากบรรดาสมาชิกคอมมูนมีความกระตือรือร้นน้อยเป็นเหตุให้ธัญพืชขึ้นราและเสื่อมสภาพเนื่องจากการเก็บรักษาที่ไม่ทันเวลา “ตอนนั้นในสายการผลิตใหญ่ทั้งหมดของอำเภอ รายได้ของเราต่ำที่สุด” นางเฉียน กุ้ยเซียง เสมียนบัญชีของสายการผลิตใหญ่เซียงถง ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 33 ปีกล่าวว่า “ในครอบครัวมี 5 คน ทำงานทั้งปีรับส่วนแบ่งรายได้เพียง 20-30 หยวนเท่านั้น อาหารไม่มีเหลือต้องต้มแป้งข้าวโพดผสมแป้งซานเย่า (มันชนิดหนึ่งที่เป็นทั้งอาหารและพืชสมุนไพรได้) ประทังชีวิต”
นายสี จิ้นผิงรู้จักหน่วยการผลิตใหญ่เซียงถงของคอมมูนหลี่ซวงเตี้ยนเป็นอย่างดี เขาเลือกที่นี่ในการทดลองระบบรับเหมาการผลิตหลังผ่านการสำรวจ ศึกษาค้นคว้าและไตร่ตรองมาแล้วอย่างลึกซึ้ง แต่การปฏิรูปโดยพลการเช่นนี้ก็ทำให้เขามีความเสี่ยงทางการเมืองหากถูกจับได้บางทีอาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงปี 1982 นายเฉิง เป่าหวย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายอำเภอเจิ้งติ้ง ติดตามผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งลงพื้นที่ที่คอมมูนหลี่ซวงเตี้ยนในอำเภอเจิ้งติ้ง และเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือเจ้าหน้าที่ในคอมมูนแห่งนี้ได้เปิดเผยความลับอย่างไม่ตั้งใจว่า นายสี จิ้นผิง กำลังทำการทดลองระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนที่หลี่ซวงเตี้ยนอย่างเงียบๆ ผู้บังคับบัญชามองว่าการทดลองในครั้งนี้นายสี จิ้นผิง อาจทำเพื่อต้องการความโดดเด่นและอาจเกิดความผิดพลาด แต่ดูเหมือนว่าสี จิ้นผิงเองจะเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว เขายืนยันที่จะไปแลกเปลี่ยนกับผู้นำคนนั้น และมุ่งมั่นว่า “การลงมือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวสำหรับการทดสอบความจริง เมื่อระบบรับเหมาการผลิตประสบความสำเร็จจึงสมควรได้รับการยกย่อง”
และในที่สุดการทดลองก็ประสบความสำเร็จ มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของคอนมูลหลี่ซวงเตี้ยนซึ่งได้เปิดใช้ระบบรับเหมาการผลิตนั้นเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของเกษตรกรเพิ่มขึ้นจาก 210 หยวนเป็นมากกว่า 400 หยวน ภาพของคนทำงานไปวัน ๆ ขาดความกระตือรือล้นกลายเป็นภาพของแต่ละครอบครัวพร้อมใจกันทำไร่ไถนาทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำการปลูกธัญพืชอย่างละเอียดประณีตเสมือนทำงาน”ปักผ้าลายดอกไม้” “ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็จดจำคุณงามความดีของท่านเลขาธิการสี!”
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของคอมมูนหลี่ ซวงเตี้ยน บวกกับได้ฟังคำอธิบายของสี จิ้นผิง ทีมผู้นำของอำเภอเจิ้งติ้งจึงมีแนวคิดที่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน
เดือนมกราคมปี 1983 อำเภอเจิ้งติ้งได้ออกวิธีการปฏิบัติตามระบบรับเหมาการผลิตในครัวเรือนซึ่งเสนอว่าที่ดินสามารถรับเหมาช่วงให้กับครัวเรือนได้ จากนั้นระบบรับเหมาการผลิตนี้จึงได้รับการขับเคลื่อนอย่างครอบคลุมในเจิ้งติ้ง กลายเป็นอำเภอแรกในมณฑลเหอเป่ยที่ใช้ระบบนี้ แม้เหตุการณ์จะดำเนินไปได้ด้วยดีแต่ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ยังมีคำถามว่าระบบนี้จะถูกใช้อย่างยั่งยืนหรือไม่ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไหมเพราะชาวบ้านจำนวนไม่น้อยไม่กล้าลงทุนใส่ปุ๋ยให้เพียงพอในการปลูกข้าวสาลี เพราะกังวลว่าหากนโยบายเปลี่ยนในปีหน้าจะไม่สามารถคืนต้นทุนเงินค่าปุ๋ยได้
วันที่ 22 มกราคมปี 1984 ชาวบ้านมากกว่า 500 คนรวมตัวกันที่ลานบ้านแห่งหนึ่งในหมู่บ้านซีไป่ถัง ตำบลซีไป่ถัง อำเภอเจิ้งติ้ง
คนที่ยืนอยู่ตรงกลางลานบ้านคือ นายสี จิ้นผิง ซึ่งตอนนั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯ ประจำอำเภอเจิ้งติ้งแล้ว
เขาพูดถึงนโยบายกับประชาชนว่า “โดยทั่วไประยะเวลาการรับเหมาที่ดินควรเกิน 15 ปี ส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มการลงทุน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และดำเนินการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ประสงค์จะรับเหมาที่ดินต่อไปหรือต้องการลดการรับเหมาที่ดินเนื่องจากไม่สามารถทำการเพาะปลูกหรือเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นได้ สามารถคืนที่ดินให้กับส่วนรวมเพื่อบริหารจัดการอย่างเป็นเอกภาพได้ หรือหากได้รับความเห็นชอบจากส่วนรวม ชาวบ้านสามารถสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อส่งต่อการรับเหมาที่ดินได้” พอพูดจบเสียงปรบมือดังกึงก้องและยาวนาน ชาวบ้านรุมล้อมสี จิ้นผิงและถามไถ่อย่างละเอียด สี จิ้นผิงตอบพวกเขาทีละคนอย่างจริงจังและอดทน
หนทางแห่งการปฏิรูปไม่เคยง่าย นายสี จิ้นผิงกล่าวว่า “หน้าที่ของนักปฏิรูปก็คือนำหน้าฟันฝ่าต่อสู้ และนำประชาชนก้าวไปข้างหน้า”