เรื่องราว‘สีจิ้นผิง’กับสื่อมวลชน (ตอนต้น)

0
7

แต่ไหนแต่ไร นายสีจิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับงานด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารมวลชน เอาใจใส่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยตลอด ไม่ว่าจะทำงานในระดับท้องถิ่นหรือส่วนกลาง สีจิ้นผิงผูกมิตรและแลกเปลี่ยนความในใจกับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเสมอ คอยห่วงใย ไว้วางใจและสนับสนุนงานด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารมวลชน จึงได้เกิดเรื่องราวที่น่าประทับใจมากมายระหว่างสีจิ้นผิงกับบรรดาผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน

“ต้องให้นักข่าวมีสิทธิ์ใช้รถยนต์ก่อนคนอื่น”

ช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากสีจิ้นผิงเข้าดำรงตำแหน่งในอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เขากับรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอได้ร่วมกันเขียนจดหมายถึงรัฐบาลส่วนกลางเพื่อขอให้ลดภาระชาวนา “ขอเพียงให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องการชื่อเสียงของอำเภอที่สร้างผลผลิตมากเป็นอันดับหนึ่งในภาคเหนือ” ภายหลังหน่วยงานระดับบนดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกแล้วจึงได้ตัดสินใจลดภาระหน้าที่การส่งมอบธัญพืชให้หลวงของอำเภอเจิ้งติ้งลง 28 ล้านชั่ง (สองชั่งเท่ากับหนึ่งกิโลกรัม) นำมาซึ่งการคลี่คลายความพิสดารของ “อำเภอที่มีผลผลิตสูงแต่ยากจน” ได้ในที่สุด

ปี 1984 จ้าวเต๋อรุ่น นักข่าวหนุ่มของสำนักข่าวซินหัวเดินทางไปทำข่าวในอำเภอเจิ้งติ้ง สีจิ้นผิงซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้งได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในห้องทำงาน

“รถจี๊ปของอำเภอ คุณขึ้นไปนั่งเถอะ จะได้สะดวกเวลาลงพื้นที่ทำการสัมภาษณ์” ขณะจัดเตรียมการทำข่าวของจ้าวเต๋อรุ่น สีจิ้นผิงได้สงวนรถยนต์คันเดียวของคณะกรรมการพรรคประจำอำเภอไว้ให้เขาใช้

“ไม่ได้ครับ ท่านไม่มีรถใช้จะทำยังไง?” จ้าวเต๋อรุ่นรีบปฏิเสธ สีจิ้นผิงยิ้มและพูดว่า “ผมมีจักรยาน”

เป็นเวลา 20 วันติดต่อกัน การทำข่าวของจ้าวเต๋อรุ่นเป็นไปอย่างราบรื่นมาก เกี่ยวกับประเด็นการเขียนรายงานข่าว สีจิ้นผิงกำชับจ้าวเต๋อรุ่นด้วยความจริงใจว่า “อย่าเขียนเกี่ยวกับผม เขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเจิ้งติ้ง” ต่อมา “บันทึกการเปลี่ยนแปลงเชิงพลิกกลับแห่งเจิ้งติ้ง” ที่เขียนโดยจ้าวเต๋อรุ่นได้ถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวซินหัว และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “เหรินหมินรื่อเป้า”

“นักข่าวมีเวลาจำกัด งานหนัก สถานที่ที่ต้องเดินทางมากมาย ทางไกลด้วย มิหนำซ้ำพวกเขาไม่รู้ทางอีก ดังนั้น จึงต้องสงวนรถยนต์ให้นักข่าวได้ใช้ก่อนคนอื่น” สีจิ้นผิงสั่งไว้เช่นนี้กับเจ้าหน้าที่

สงวนถุงออกซิเจนให้นักข่าวบนที่ราบสูงหิมะ

เดือนมิถุนายน ปี 1998 มณฑลฝูเจี้ยนได้ส่งเจ้าหน้าที่รุ่นที่สองไปช่วยเหลือทิเบต สีจิ้นผิงซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยนได้นำเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เดินทางไปยังทิเบต

ในคืนแรกหลังจากเข้าสู่ทิเบต จางหง นักข่าวฝูเจี้ยนเดลี่ รู้สึกไม่สบายและขอความช่วยเหลือจากแผนกบริการของโรงแรม ก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธถุงออกซิเจนที่เตรียมไว้ให้ล่วงหน้า แต่ตอนนี้ใบหน้าของเธอเป็นสีม่วงเนื่องจากขาดออกซิเจน  เดินเซไปเซมาเวลาลงบันได

หลังจากหนุ่มชาวทิเบตในแผนกบริการของโรงแรมได้รับทราบเรื่อง เขาได้วิ่งขึ้นไปชั้นบนหยิบถุงออกซิเจนใบใหญ่ลงมา และบอกว่าชายหนุ่มคนหนึ่งฝากมาให้เธอ กว่าจางหงมีอาการดีขึ้นจากการได้สูดออกซิเจน  เวลาล่วงเลยตี 1 แล้ว

วันรุ่งขึ้นจางหงถามเพื่อนร่วมทีมช่วยเหลือทิเบตอย่างติดตลกว่า “เมื่อคืนชายหนุ่มคนไหนช่วยเหลือผู้อื่นอย่างกล้าหาญ ได้สละถุงออกซิเจนมาให้กับฉัน”

“ผมเอง” เธอนึกไม่ถึงเลยว่าคนตอบคือสีจิ้นผิง

เพิ่งเดินทางถึงหลังคาโลกหมาดๆ  สีจิ้นผิงไม่ลังเลที่จะเสียสละหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตให้กับเธอ สิ่งนี้ทำให้จางหงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

การเดินทางลงพื้นที่ในทิเบตค่อนข้างลำบากเพราะถนนขรุขระ อุปกรณ์กล้องถ่ายวิดีโอสัมภาษณ์ของนักข่าวคนหนึ่งเสียเนื่องจากการกระแทก สีจิ้นผิงเดินเข้าไปกล่าวปลอบใจอย่างเป็นกันเองว่า “ร่างกายไม่เป็นไรก็โอเค ไม่ใช่ความผิดของคุณที่อุปกรณ์เครื่องมือเสีย คุณถ่ายไปเยอะแล้ว ต่อไปจะถ่ายทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ”

ตลอดการเดินทางเยือนทิเบตในครั้งนี้ เสน่ห์ของบุคลิกที่เรียบง่ายและเป็นกันเองของสีจิ้นผิงได้ชนะใจชาวทิเบต และได้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางด้วย

แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG)