“เจิ้งติ้ง” ผมรักที่นี่เสมือนบ้านหลังที่สอง – เส้นทางสีจิ้นผิง (21)

0
6
สี จิ้นผิงถ่ายรูปหมู่กับต้นแบบผู้ใช้แรงงาน 3 คนและชาวบ้านที่เคยให้ความช่วยเหลือแบบจับคู่ 3 คนก่อนเดินทางออกจากเจิ้งติ้งในเดือนพฤษภาคม ปี 1985

ปลายเดือนพฤษภาคม ปี 1985 นายสี จิ้นผิง ได้รับแจ้งจากฝ่ายจัดการองค์กรว่าจะต้องย้ายไปทำงานที่มณฑลฝูเจี้ยน ผู้คนส่วนใหญ่ในที่ทำการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้งรู้ข่าวนี้ก่อนที่นายสี จิ้นผิง จะเดินทางเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เพราะนายสี จิ้นผิง คิดว่าเมื่อเขามาอย่างเงียบๆ เวลาจะไปก็ไม่อยากรบกวนใคร

แต่การทำงานที่เจิ้งติ้งนานกว่าว่า 3 ปี ทำให้สี จิ้นผิงมีความรู้สึกห่วงใยและอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก

เขาห่วงใยเด็ก ๆ ในโรงเรียนประถมหมู่บ้านเป๋ยเจี่ย

“ขอฝากเงินเล็กน้อยนี้ไว้ซื้อหนังสือให้เด็กๆ ” ก่อนที่จะจากไปหนึ่งวัน นายสี จิ้นผิง เดินทางไปที่โรงเรียนประถมหมู่บ้านเป๋ยเจี่ยอีกครั้ง เขาถามว่าโรงเรียนยังมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขบ้าง ก่อนออกจากโรงเรียนเขาหยิบเงินปึกหนึ่งยื่นให้หวัง เจิ้นอาน ครูใหญ่ของโรงเรียน

หวัง เจิ้นอาน ปฏิเสธอยู่สักพักใหญ่ก่อนที่จะตกลงใจรับเงินในที่สุด เมื่อสี จิ้นผิงจากไป หวัง เจิ้นอานกับผู้อำนวยการฝ่ายกิจการทั่วไปของโรงเรียนได้ช่วยกันนับเงิน ในจำนวนนั้นมีธนบัตรใบละ 10 หยวน รวมทั้งหมด 20 ใบ ซึ่งเทียบเท่ากับเงินเดือน 3 เดือนของเจ้าหน้าที่ระดับนายอำเภอหรือผู้อำนวยการฝ่ายในเวลานั้น

นอกจากเด็ก ๆ แล้ว นายสี จิ้นผิง ยังห่วงใยถึงบรรดาเจ้าหน้าที่รุ่นเก่าซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว

หนึ่งวันก่อนที่จะจากไป สี จิ้นผิง ได้จัดงานสัมมนากับเจ้าหน้าที่รุ่นเก่าในอำเภอเจิ้งติ้ง สี จิ้นผิงถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องการแก้ไข เมื่อเขาบอกทุกคนว่าตัวเองกำลังจะย้ายไปทำงานที่อื่นก่อนสิ้นสุดการประชุมสัมมนา

ทันใดนั้นบรรยากาศในที่ประชุมเงียบลง เมื่อหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ดีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รุ่นเก่าบางคนกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “เลขาสี พวกเราไม่อยากให้คุณย้ายไปที่อื่น”

ในวันนั้น สี จิ้นผิง เดินทางอย่างเร่งรีบไปที่วัดหลงซิงเพื่อให้คำแนะแนวเกี่ยวกับงานอนุรักษ์และบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ รวมถึงกำชับผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจของอำเภอให้ขับเคลื่อนโครงการอุตสาหกรรมที่เพิ่งเริ่มต้นให้ดี

สี จิ้นผิง ทำงานจนถึงช่วงดึกก่อนเจียดเวลาไปนัดพบกับเจี่ย ต้าซาน เพื่อนเก่าของเขา ทั้งสองพูดคุยกันยาวนานจนถึงตอนตี 3 ของวันรุ่งขึ้น ถึงเวลาที่ต้องจากกันทั้งคู่มีน้ำตาคลอเบ้าไม่สามารถซ่อนความรักที่มีต่อกันได้

ประมาณ 7 โมงเช้าในวันถัดมา สี จิ้นผิงตั้งใจว่าจะเดินทางจากไปก่อนที่ทุกคนจะมาทำงาน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือทันทีที่เขาออกจากอาคารสำนักงาน เขาเห็นมีคนที่มาส่งเขาเต็มลานกลางแจ้งภายในที่ทำการ

ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีทั้งนักธุรกิจที่สี จิ้นผิง เคยให้ความช่วยเหลือ เพื่อนเกษตรกรที่สี จิ้นผิง ผูกมิตรหลังจากไปทำงานที่เจิ้งติ้ง และเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันเช้ายันค่ำ ตลอดจนบรรดาชาวบ้านจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเขตเมืองอำเภอเจิ้งติ้ง

“คุณจิ้นผิง ไปแล้วอย่าลืมพวกเรา อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันบ้าง!” เสียงดังขึ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้นขณะที่รถจี๊ปขับออกไปอย่างช้าๆ จากที่ทำการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง

สี จิ้นผิง โบกมืออยู่ในรถพร้อมกล่าวว่า “ผมจะกลับมาเยี่ยมทุกคนแน่นอน”

สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการและเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้งตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1982 จนถึงเดือนพฤษภาคม ปี 1985 ถือเป็นประสบการณ์แรกในอาชีพข้าราชการ เป็นเวลา 3 ปีที่ไม่ธรรมดาของเขา

ที่นี่ สี จิ้นผิง ได้เข้ารับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับผู้นำเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขาพยายามทดลองใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาในอดีตในการทำงาน ใช้ความผูกพันอันลึกซึ้งที่มีต่อประชาชนในการทำงาน เขาร่วมอดทนต่อความยากลำบาก ร่วมใช้ชีวิตและร่วมทำงานกับชาวอำเภอเจิ้งติ้ง เดินทางไปครบทุกหมู่บ้านในอำเภอ ทุ่มเทความพยายามและอารมณ์ความรู้สึกอย่างมากตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาของอำเภอ จนถึงเรื่องเล็ก เช่น การดำเนินการรับรองความเป็นสมาชิกพรรคฯ ของสมาชิกพรรคฯเก่าในพื้นที่ชนบท.

หากประเมินว่าช่วงเวลาที่ทำงานในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอทำให้สี จิ้นผิง มีความเข้าใจและได้สัมผัสพื้นที่ชนบท การทำงานในเจิ้งติ้งทำให้สี จิ้นผิง ได้เริ่มคิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผลเกี่ยวกับชนบทและได้มีโอกาสบริหารงานในชนบท

กว่า 1000 วันในเจิ้งติ้ง สี จิ้นผิงทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ เขายึดมั่นในอุดมการณ์การรับใช้ประชาชน ยืนหยัดใส่ใจเรื่องของประชาชน ชูประเด็นผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด มีความตรงไปตรงมามากที่สุด และประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด เขาซ่อมแซมอาคารเรียนที่ทรุดโทรม ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเรียนการสอนของโรงเรียน ดัดแปลงห้องน้ำที่เชื่อมต่อกับคอกหมูในพื้นที่ชนบท แก้ไขปัญหาความยากลำบากในการขายนมและผักของชาวบ้าน ทำให้ชาวอำเภอเจิ้งติ้งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

สี จิ้นผิง มีความกล้าหาญและแบกรับความรับผิดชอบ มุ่งเน้นเรื่องสำคัญที่เป็นรูปธรรมและผลลัพธ์ในการปฏิบัติภารกิจ เขาเคยเดินทางไปอำเภอเมืองของมณฑลเหอเป่ยและปักกิ่งเพื่อสะท้อนเสียงของประชาชน ผลักดันการลดภาระหน้าที่ส่งมอบธัญพืชแก่รัฐของอำเภอเจิ้งติ้งแม้จะต้องเผชิญความกดดันก็ตาม เขาระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อสร้างตำหนักหรงกั๋วฝู่และซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดหรงซิง เมื่อเขา “พูดสิ่งใดก็ทําสิ่งนั้น ทำเรื่องไหนก็ทำให้สำเร็จเรื่องนั้น” ด้วยปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม

สี จิ้นผิง ยืนหยัดการปฏิรูปและการสร้างนวัตกรรม นำหน้าขับเคลื่อนการรับเหมาดำเนินการผลิตในมณฑล สามารถทำให้อำเภอเจิ้งติ้งหลุดพ้นออกจาก “อำเภอที่มีผลผลิตมากแต่ยากจน” เขาคลายข้อจำกัดและกระจายอำนาจให้กับวิสาหกิจ เขาออก “มาตรการดึงดูดบุคคลากร 9 ข้อ” ที่สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ  เขานำเจ้าหน้าที่และประชาชนอำเภอเจิ้งติ้งให้บริการในด้านต่างๆ แก่เมืองสือเจียจวง เมืองเอกของมณฑลเหอเป่ย เพื่อ “สร้างรายได้จากเมือง” และเดินบนหนทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจ “แบบกึ่งชานเมือง”

สี จิ้นผิง ใช้ความพยายามเพื่อขยายการเปิดสู่ภายนอกของเจิ้งติ้ง เขาเสนอให้สร้างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง ดำเนินการค้าขายไปยังทั่วประเทศ เขาเดินทางไปสหรัฐเพื่อศึกษาดูงานภาคการเกษตร ด้วยการทุ่มเทและขับเคลื่อนของสี จิ้นผิง เจิ้งติ้งได้เปิดประตูที่เคยปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ทลายกำแพงทางด้านความคิดและต้อนรับกระแสลมจากทั่วทุกสารทิศ

สี จิ้นผิง ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์รูปแบบการทำงาน เขาเป็นผู้นำในการกำหนด “ข้อบังคับ 6 ประการ” เพื่อปรับปรุงรูปแบบความเป็นผู้นำ ดำเนินการจัดระเบียบต่อ “สภาพเอกสารและการประชุมในแวดวงราชการที่มากเกินไป” อย่างจริงจัง เขาพยายามยับยั้งความประพฤติที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือย เขากวดขันตัวเองให้อยู่ในกฎระเบียบอย่างเข้มงวด มีความซื่อสัตย์สุจริต เขาเคารพให้เกียรติผู้อาวุโสและบุคคลผู้มีความสามารถ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ความสามัคคี ประตูห้องทำงานของเขาเปิดสำหรับประชาชนทั่วไปเสมอ

จากปี 1982 ถึง 1984 ยอดการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมและรายได้ต่อหัวของเกษตรกรในอำเภอเจิ้งติ้ง เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในปี 1985 ซึ่งเป็นปีที่สี จิ้นผิงพ้นจากตำแหน่ง เจิ้งติ้งได้เปลี่ยนจาก “อำเภอที่มีผลผลิตมากแต่ยากจน” ไปเป็น “อำเภอก้าวหน้าที่มีการพัฒนาอย่างรอบด้าน”

ในมุมมองของสี จิ้นผิง ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีความสุขที่สุด เขากล่าวว่า “ผมมีความรักอย่างสุดซึ้งต่อดินแดนมณฑลเหอเป่ย ไม่ใช่เพราะผมเคยทำงานที่นี่เท่านั้น  ยิ่งกว่านั้นเพราะที่นี่เป็นดินแดนแห่งการปฏิวัติ ดินแดนแห่งวีรบุรุษ และเป็นดินแดนที่ ‘จีนใหม่ก้าวมาจากที่นี่’ ”

สี จิ้นผิง รู้จักและรักอำเภอเจิ้งติ้งอย่างสุดซึ้ง เขากล่าวว่า “เจิ้งติ้งคือบ้านหลังที่สองของผม”  “ผมรักที่นี่”

แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG)

ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่

http://www.tcjapress.com/2023/01/18/xi-way-20/