เส้นทางสีจิ้นผิง(1)

0
3
เส้นทางสีจิ้นผิง(1)
 
เมืองเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย จุดเริ่มต้นการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนของนายสี จิ้นผิง
 
ย้อนกลับไปช่วงปลายเดือนมีนาคมปี 1982 รถจี๊ปคันหนึ่งแล่นอยู่บนทางหลวง 107 มุ่งสู่อำเภอเจิ้งติ้ง ซึ่งผู้โดยสารบนรถคันนั้นคือ นายสี จิ้นผิง ที่กำลังเดินทางไปรับตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง
 
อำเภอเจิ้งติ้ง เป็นอำเภอที่อยู่ทางเหนือของเมืองสือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย ในช่วงปี 1981 ที่อำเภอแห่งนี้มีประชากร 450,000 คน ตัวเลขมวลรวมการผลิตอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมราว 200 ล้านหยวน รายได้เฉลี่ยต่อคนในตอนนั้นอยู่ที่ 140 กว่าหยวน​​
 
ภาพสองข้างทางระหว่างนั่งรถทำให้นายสี จิ้นผิง นึกถึงหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ อำเภอเหยียนชวน มณฑลส่านซี ที่เขาเคยใช้ชีวิตมาตั้งแต่อายุ 15 ปี เขาอยู่ที่นั่น 7 ปี จนถึงในปี 1975 นายสี จิ้นผิง ออกจากหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ในกรุงปักกิ่ง หลังจบการศึกษาเขาเข้าทำงานที่สำนักคณะรัฐมนตรี สำนักคณะกรรมการทหารกลางแห่งประเทศ ในตำแหน่งเลขานุการของนายเกิ่ง เปียว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
 
ปลายปี 1981 นายสี จิ้นผิง ทำเรื่องขอไปทำงานในที่พื้นที่รากหญ้าที่ต่างมณฑล ญาติมิตรหลายคนไม่เข้าใจและพยายามโน้มน้าวไม่ให้เขาออกจากกรุงปักกิ่ง แม้นายสี จิ้นผิง จะเข้าใจความกังวลของคนเหล่านั้นเพราะว่าช่วง 10 ปี “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” (สิ้นสุดลงในปี 1976) หนุ่มสาวกรุงปักกิ่งจำนวนมากต้องไปใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากในชนบทมาหลายปี กว่าที่จะได้กลับมาอยู่ในปักกิ่ง หลายคนจึงรู้สึกเข็ดขยาดกับชีวิตที่ยากลำบากและไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้น
 
แต่สี จิ้นผิงกลับคิดต่าง เขาคิดว่าคนในรุ่นของเขาควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เมื่อ “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” สิ้นสุดลง เริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดประเทศ เราควรจะยิ่งคว้าโอกาสนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เคยผ่านช่วง “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” ยิ่งควรลุกขึ้นมาเป็นกำลังหลักในการปฏิรูปและเปิดประเทศ
 
หนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้นายสี จิ้นผิง อยากออกจากจากเมืองหลวงไปทำงานยังพื้นที่ชนบทก็คือ เขายังคงได้ยินและรับรู้ปัญหาจากชาวบ้านเหลียงเจียเหออยู่ตลอด แม้เขาจะออกจากหมู่บ้านนานถึง 7 ปีแล้ว ความพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและปัญหาถูกแก้ไขแต่ก็ต้องใช้เวลา เขามองว่าจีนยังมีหมู่บ้านอีกนับพันนับหมื่นที่เหมือนกับหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ เมื่อไหร่ที่ชาวบ้านจะสบายและเขาเองจะสามารถสร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้กับชาวบ้านได้อย่างไร
 
การทำงานในกรุงปักกิ่ง ในหน่วยงานของรัฐ อยู่ข้างๆ ผู้นำ อยู่ระดับสูง มีวิสัยทัศน์กว้าง เข้าถึงข้อมูลมากมาย แต่ไม่ติดดินไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงจึงไม่ใช่คำตอบ
 
เมื่อเดินทางถึงมณฑลเหอเป่ยแล้ว นายสี จิ้นผิง รายงานตัวต่อนายเซี่ย เฟิง เลขาธิการคนที่ 1 ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำสือเจียจวงและระบุว่า “อยากจะเป็นเลขาธิการฯ ประจำคอมมูนที่ยากจนที่สุดและด้อยพัฒนาที่สุดในพื้นที่ภูเขา” แต่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำอำเภอเจิ้งติ้งน่าจะเหมาะกับเขามากกว่า ซึ่งเขาเองก็ยอมรับการตัดสินใจของทางการ และนั่นก็คือก้าวแรกสู่เส้นทางการดำรงตำแหน่งที่อำเภอเจิ้งติ้งของเขา
 
เมื่อนายสีจิ้นผิง เดินทางถึงสำนักงาน ประชาชนในท้องที่ต่างมารอเฝ้าดูเขา ท่ามกลางเสียงไถ่ถามและวิพากษ์วิจารณ์ ว่า “นี่คือรองเลขาธิการฯ อำเภอคนใหม่หรือ?” “ได้ยินว่า เป็นบุตรข้าราชการชั้นสูงจากกรุงปักกิ่งนะ!”“แต่งตัวเรียบๆ ดูแล้วไม่เหมือนคนเมืองสักนิด!”“คนมาจากเมืองหลวงจะทนรับความลำบากได้หรือ?” ท่ามกลางคณะผู้บริหารของทางการอำเภอเจิ้งติ้งในเวลานั้นเขาน่าจะเป็นคนหนุ่มท่ามกลางผู้บริหารที่มีความอาวุโส
 
สีจิ้นผิงเปิดใจว่าเขายอมสละความสะดวกสบายในเมืองหลวง ต้องการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องประชาชน เขาใช้คำว่า “ทะเลแห่งความทุกข์” และฟันฝ่าไปด้วยกัน การอยู่เคียงข้างประชาชน ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และเดินไปพร้อมกับพวกเขา ผมทำเพื่อหาคุณค่าของตัวผมเองท่ามกลางประชาชน
 
นายสี จิ้นผิง ทำงานที่อำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย ทางภาคเหนือของจีน ในตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง และเลขาธิการฯ ตามลำดับ​​ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมปี 1982 ถึงเดือนพฤษภาคมปี 1985 ความมุ่งมั่นตั้งใจและความทุ่มเทของเขาได้ทิ้งเรื่องราวที่น่าประทับใจไว้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลังได้เรียนรู้สืบต่อไป
 
แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG)