“นัยยะจากเรื่องประชากรจีนลดลงครั้งแรกในรอบ 60 ปี”
โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์
คนจำนวนไม่น้อยไม่ก็คงแปลกใจ ไม่ก็คงไม่เข้าใจว่า ข่าวเรื่อง “ปีนี้ประชากรจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี” ทำไมต้องเป็นข่าว สื่อไทยทุกสื่อนำเสนอเรื่องนี้ นักเขียนจำนวนไม่น้อยก็พยายามอธิบายเรื่องนี้ให้เห็นในเชิงวิชาการ ซึ่งก็หนีไม่พ้นต้องมีตัวเลขมากมายมาแสดง ผู้เขียนตั้งใจว่าจะลองเขียนเรื่องนี้ให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไปที่สนใจเรื่องจีน
นัยยะแรกที่ต้องตีความให้แตกก็คือ ประชากรจีนลดลงมันสำคัญตรงไหน ? ”ดี” หรือ “ไม่ดี” กับจีนหรือกับโลกของเราอย่างไร ? ถ้าถามว่า ดีหรือไม่ดีสำหรับจีน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะตอบว่า “ดี” เพราะฟังมานักต่อนักว่าจีนมีประชากร 1,400 ล้านคนมากที่สุดในโลก ขณะที่การคุมกำเนิดสำหรับคนจีนก็ใช้แทบไม่ได้ผล ยกตัวอย่างปี 1949 ปีที่จีนสถาปนาประเทศใหม่ ๆ มีประชากรแค่ 541 ล้านคน ผ่านไป 30 ปี (ปี1980) เพิ่มพรวดขึ้นไปอยู่ที่ 978 ล้านคนคือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ปีนั้นเองรัฐตัดสินใจออกกฎหมายคุมกำเนิดทันที กำหนดให้สามี-ภรรยาหนึ่งคู่มีลูกได้ 1 คน และคุมเข้มอย่างยิ่งยวดเป็นเวลา 36 ปีติดต่อกันจนถึงปี 2015
เราต้องไม่ลืมว่าประเพณีแต่โบราณของจีนถือว่าการมีบุตรหลานสืบสกุลมาก ๆ ถือเป็นสิริมงคล ยิ่งมีลูกหลานเป็นชายเยอะ ๆ ก็ยิ่งเข้าตำรา แต่แล้วจู่ ๆ รัฐก็มากดดันให้มีลูกได้คนเดียว จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะพยายามหาทางออกกันไปต่าง ๆ ทำให้เกิดเรื่องราวที่ฟังดูคล้ายนิยาย (แต่เป็นเรื่องจริง) เกี่ยวกับความพยายามของครอบครัวที่ต้องการมีลูกมากกว่า 1 คนและอยากได้ลูกเป็นชาย ผู้เขียนเคยได้ยินเรื่องเล่าแบบนี้มามาก ภาพยนตร์ที่มีพล็อตทำนองนี้ก็มีไม่น้อย เช่น ครอบครัวไหนมีลูกครบโควต้าคือ 1 คน แต่เกิดตั้งครรภ์คนที่ 2 ขึ้นอีกก็ต้องไปทำแท้งด้วยน้ำตานองหน้า รัฐบริการทำแท้งให้ฟรีตามคลีนิคที่มีอยู่ทั่วไป หากครอบครัวไหนเสียดายลูกในท้องอยากเก็บไว้ ก็ต้องทนอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ รอจนครรภ์เริ่มใหญ่ก็เดินทางไปคลอดต่างถิ่น ส่วนใหญ่จะไปหาพ่อแม่ที่บ้านนอกแล้วทิ้งลูกให้พ่อแม่เลี้ยง ส่วนครอบครัวที่ไม่สมอยากได้ลูกคนแรกเป็นหญิงแล้วทำใจรับไม่ได้ มักจะทนเลี้ยงลูกพอให้โตหน่อยแล้วอุ้มไปเร่ขายหรือยกให้กับคนที่ไม่มีลูก ส่วนตัวเองกลับบ้านไปไหว้พระขอให้ได้ลูกอีกคนเป็นชาย ฯลฯ
ผู้เขียนจำได้ว่าในช่วง 30 ปีที่จีนคุมกำเนิดอย่างเข้มงวด รัฐต้องพยายามเปลี่ยนความคิดของคนจีนเรื่องชอบลูกชายไม่เอาลูกสาวด้วยการทำป้ายสโลแกนใหญ่ ๆ ติดตามถนนโดยเฉพาะตามสี่แยกใหญ่ ๆ ว่า “หนาน-หนวี่ โตวห่าว” (“ ชายหรือหญิงดีทั้งนั้น”) แต่ทัศนคติที่ปลูกฝังกันมานับพันปีไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนได้ง่าย ๆ
ระหว่างที่รัฐคุมกำเนิดประชากรอย่างเข้มงวดอยู่ 30 ปี ประเทศจีนก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เศรษฐกิจของประเทศดีวันดีคืน การศึกษากระจายสู่ชนบทค่อนข้างทั่วถึง คนหนุ่มสาวเมื่อจบการศึกษามักทิ้งไร่นาและพ่อแม่ในชนบทไปหางานทำในเมืองใหญ่ ครั้นการงานรัดตัวประกอบกับต้นทุนในการให้การศึกษาบุตรก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ (ส่วนใหญ่เป็นค่าเรียนพิเศษเพื่อให้ลูกเรียนเก่งแข่งกับคนอื่นได้) ทำให้ความคิดที่ไม่อยากมีลูกมากกว่า 1 คนเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องรอให้กฎหมายบังคับ นอกจากนี้ยังมีหนุ่มสาวอีกไม่น้อยที่หวงแหนเสรีภาพส่วนตัวมากจนไม่อยากแต่งงานและไม่อยากมีลูก สิ่งเหล่านี้คือแนวโน้มใหม่ที่รัฐเองก็คงคาดไม่ถึง
ดังนั้น 36 ปีของการคุมกำเนิด ประชากรจีนเพิ่มขึ้นจาก 978 ล้านเป็น 1,382 ล้าน คือเพิ่มขึ้น 404 ล้านคน ดูตามตัวเลขเหมือนกับจะเพิ่มขึ้นพอ ๆ กับเมื่อ 30 ปีก่อนคุมกำเนิด (ซึ่งเพิ่มขึ้น 437 ล้านคน) แต่นัยยะสำคัญของการเพิ่มครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นการเพิ่มที่ทำให้เกิดปัญหา “ความไม่สมดุลระหว่างวัย” ในหมู่ประชากร คืออัตราเด็กเกิดใหม่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง คนหนุ่มสาวซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง (ในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่ออกไปทำงานต่างประเทศแล้วไม่ยอมกลับ) ในทางกลับกัน ประชากรที่ทวีจำนวนในอัตราส่วนที่สวนทางกับคนหนุ่มสาวกลับกลายเป็นคนแก่หลังเกษียณ ซึ่งอายุขัยยืนยาวขึ้นจากชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขขึ้น ถ้าปล่อยไว้จีนจะประสบปัญหาขาดแคลนประชากรวัยทำงานอย่างแน่นอน เมื่อมาถึงจุดนี้รัฐบาลจึงตัดสินใจหันกลับมากระตุ้นอัตราเด็กเกิดใหม่ด้วยการออก “นโยบายลูก 2 คน” ในปี 2015 แต่ผลที่ได้น้อยเกินคาดอีกเช่นเคย ปี 2021 ที่ผ่านมานี้เองนี้ รัฐเปลี่ยนนโยบายอีกครั้งเพิ่มขึ้นอีกเป็น “ลูก3 คน” แต่.. ตัวเลขที่ออกมาหมาด ๆ กลับชี้ว่า ในเวลาเพียง 1 ปี ประชากรจีนลดลงไปถึง 850,000 คน และเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 60 ปีอย่างที่เป็นข่าว
ผู้เขียนมองเห็นนัยยะสำคัญจากข่าวนี้อยู่ 2 เรื่อง 1) ประชากรสูงวัยของจีนจะพุ่งสูงขึ้นอีกสวนทางกับจำนวนเด็กเกิดใหม่ อย่างน้อยเป็นเวลายาว ๆ อีกระยะหนึ่ง (จนกว่ารัฐจะมีกลเม็ดวิเศษบางอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง) 2) จีนจะรับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานคนหนุ่มสาวซึ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานน้อย ชดเชยไม่ทันกับแรงงานที่เกษียณที่ในแต่ละปี ทางออกที่จีนน่าจะทำคือ 1) หาทางไปลงทุนการผลิตนอกประเทศให้มากขึ้น 2) เร่งพัฒนาเทคโนโลยีจักรกลทันสมัยที่ใช้แรงงานน้อยลง 3) หาทางจูงใจคนจีนในต่างแดนให้กลับมารับใช้ชาติ
คิดแทนไปก็เหนื่อยเปล่า… เชื่อไหมล่ะ… จีนมองเห็นปัญหาทุกอย่างและเตรียมแผนรองรับอยู่แล้ว !!