เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1999 ขณะดำเนินการสำรวจข้อมูลประกอบการศึกษาวิจัยในพื้นที่อำเภอซาเซี่ยน เมืองซานหมิง นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยนได้ให้คำแนะนำว่า ต้องตระหนักว่าการสร้าง “สังคมพอกินพอใช้”นั้นเป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์ สังคมที่มีฐานะมั่งคั่งยังต้องพัฒนาไปในทิศทางที่สูงขึ้นไปจนกว่าจะถึงความเจริญ“
วัฒนธรรมอาหารซาเซี่ยนขึ้นชื่อเรื่องรสชาติมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชาวอำเภอซาเซี่ยนมีประเพณีการทำอาหารพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ อำเภอซาเซี่ยนอยู่ในพื้นที่ปลูกข้าวทางภาคใต้ของจีน เป็นแหล่งผลิตข้าวและเผือกที่สำคัญ ในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง ผู้ที่อพยพจากภาคกลางมายังมณฑลฝูเจี้ยนได้ใช้ข้าวและเผือกแทนข้าวสาลีในการทำอาหาร รสชาติและฝีมือดั้งเดิมได้รับการอนุรักษ์มาจนถึงทุกวันนี้ ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง การคมนาคมขนส่งทางเรือที่สะดวกทำให้อำเภอซาเซี่ยนกลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญทางตอนเหนือของมณฑลฝูเจี้ยน เนื่องจากมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาอาศัยอยู่ที่นี่และเป็นแหล่งที่ซึ่งวัฒนธรรมจากเหนือและใต้มาบรรจบกัน อันนำมาซึ่งความหลากหลายของอาหารพื้นเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ชาวตำบลเซี่ยเม่านับพันคนเป็นตัวแทนชาวอำเภอซาเซี่ยนได้พากันออกไปทำมาหากินที่ภายนอกด้วยอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยน
ผู้ที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกในชีวิตได้กลับมาสร้างบ้านใหม่ในบ้านเกิด เพื่อนบ้านในชนบทรู้สึกอิจฉาแต่ลังเลว่าจะออกไปดีหรือไม่ หน่วยงานภาครัฐของอำเภอซาเซี่ยนก็ลังเลเช่นกัน เพราะไม่แน่ใจว่าอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนซึ่งเป็นเพียง “อาหารธรรมดาๆ” จะสามารถบ่มเพาะและพัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรมแขนงหนึ่งได้หรือไม่?
นายหวง ฝูซง ผู้ช่วยนายอำเภอและประธานคณะกรรมการการเกษตรของอำเภอซาเซี่ยนในขณะนั้นเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1997คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอำเภอซาเซี่ยนได้จัดประชุมเพื่อศึกษาการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนโดยเฉพาะ ที่ประชุมมีมติว่า อุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนเป็นอุตสาหกรรมเพื่อเกษตรกรอย่างแท้จริง เป็นโครงการที่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับประชาชนได้
แม้ว่าจะมีผลโดยตรงต่อการเพิ่มรายได้ทางการคลังของอำเภอได้ไม่มากแต่การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองให้ดำเนินไปด้วยดีนั้นสามารถช่วยให้แรงงานชนบทจำนวนมากมีงานทำ
ตั้งแต่นั้นมา อาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนซึ่งอยู่ในสภาพที่เทียบได้กับ “ทหารจรยุทธ์” ในช่วงแรก ๆ ก็กลับกลายมาเป็น “กองกําลังประจําการ” จนได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
เมื่อปี 1998รายได้เฉลี่ยต่อหัวของเกษตรกรอำเภอซาเซี่ยนเพิ่มขึ้น 306หยวน ซึ่งเพิ่มมากเป็นอันดับหนึ่งของมณฑล โดยอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองได้แสดงบทบาทที่สำคัญ
นายสี จิ้นผิงให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างความร่ำรวยแก่ประชาชนนี้ เขาแนะว่าปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนนั้นอยู่ที่การวางตำแหน่งสินค้าในตลาดอย่างถูกต้อง เติมเต็มช่องว่างการบริโภค ราคาย่อมเยา แม้ทำกำไรเพียงเล็กน้อยแต่ขายได้ปริมาณมาก จึงเป็นการค้นพบหนทางที่ถูกต้อง ขณะนี้ควรดำเนินการสรุปผลอย่างจริงจัง ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการฝึกอบรม เพื่อแสวงหาพื้นที่ที่จะขยายการทำอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองอย่างลึกซึ้ง
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.2000 นายสี จิ้นผิงได้ลงพื้นที่ไปยังอำเภอซาเซี่ยนอีกครั้ง เขาย้ำในการสัมมนาที่ตำบลเซี่ยเม่าว่า จำเป็นต้องแสวงหาเสาหลักที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการสร้างอุตสาหกรรมที่สามที่ถืออุตสาหกรรมอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนเป็นหลัก เพื่อให้สามารถกลายเป็นจุดเติมโตใหม่ของเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิงและคณะยังได้ไปที่บ้านของนายหลัว กวางซั่น นักธุรกิจชาวนารุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในวิลล่าของหมู่บ้านเหลียนฮวาซินชุน เมื่อรู้ว่านายหลัว กวางซั่นซึ่งเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชาวนารุ่นเยาว์กลุ่มแรกๆ ของอำเภอซาเซี่ยนที่ตอบสนองต่อการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ การออกจากชนบทและเข้าเมืองเพื่อตั้งโรงงาน สามารถขจัดความยากจนสู่ความมั่งคั่ง และสร้างวิลล่าให้กับตัวเองได้ นายสี จิ้นผิงชื่นชมเขาอย่างมาก และจับมือกับเขาอีกครั้งก่อนจากไป พร้อมให้กำลังใจนายหลัว กวางซั่นว่า “พ่อหนุ่ม ทำงานให้ดี”
นายหลัว กวางซั่นรู้สึกได้แรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก เขาได้ตั้งใจทำงานหนักขึ้นในวันต่อมา ปัจจุบัน เขาไม่เพียงแต่เปิดร้านอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนในกรุงปักกิ่งเท่านั้น หากยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์อีกด้วย
ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ชาวอำเภอซาเซี่ยนจำนวนมากเช่นนายหลัว กวางซั่นได้เปิดร้านในกว่า 60 ประเทศและเขตแคว้นทั่วโลก มีร้านค้าอยู่ทั่วประเทศจีนมากกว่า 88,000 แห่ง มีผลประกอบการคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านหยวนต่อปี มีการจ้างงาน 300,000 คน ด้วยสองมือที่มานะอุตสาหะของพวกเขา พวกเขาได้สร้าง “หอสูง”แห่งอำเภอซาเซี่ยนโดยใช้ “เปี่ยนโล่ว(เกี๊ยวน้ำพื้นเมืองซาเซี่ยน)”เป็น“อิฐ”และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็น“เหล็ก” โดยอาศัยผลลัพธ์จากอุตสาหกรรมอาหารพื้นเมือง รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของเกษตรกรในอำเภอซาเซี่ยนเพิ่มขึ้นจาก 2,805 หยวนในปี 1997 เป็น 21,855 หยวนในปี 2020ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างหนทางสู่ความมั่งคั่งสำหรับทั้งประชาชนและอำเภอซาเซี่ยน
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.2021 ณ หมู่บ้านยี๋ว์ปาง ตำบลเซี่ยเม่า ผู้มาเยือนจะเห็นสะพานมีหลังคาและต้นไม้โบราณ สายน้ำไหลผ่านบ้านเรือนชาวบ้าน และอบอวลด้วยกลิ่นหอมของอาหารพื้นเมือง นายสี จิ้นผิงเดินบนถนนในหมู่บ้านที่สะอาดพร้อมพูดคุยกับชาวบ้านตลอดทางเพื่อรับรู้สภาพปัจจุบันของอาหารพื้นเมืองซาเซี่ยนอย่างละเอียด เขาได้กำชับด้วยความคาดหวังว่า “การพัฒนาชนบทให้เจริญรุ่งเรืองและความเป็นเมืองได้สร้างโอกาสแก่พวกคุณ ในขณะที่พวกคุณก็ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชนบทให้เจริญรุ่งเรืองและการสร้างสรรค์เมือง กล่าวได้ว่าทั้งสองเกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและมีความลงตัวเป็นอย่างดี หวังว่าพวกคุณจะเป็นผู้นำในการเดินทางครั้งใหม่แห่งการสร้างชีวิตที่ดีงาม”
แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน(CMG)
ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่