เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (11 เม.ย. 2017) นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซียได้กล่าวว่า กรุงมอสโกจะเรียกร้องให้องค์กรสหประชาชาติตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีในประเทศซีเรีย เนื่องจากรัสเซียคาดว่าเกิดการปลุกปั่นขึ้นในประเทศตะวันออกกลางที่กำลังยับเยินเพราะสงคราม
“เราตั้งใจที่จะพูดคุยถึงการจัดการเรื่องนี้กับสหประชาชาติ เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศตรวจสอบเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด และตัดสินผลการสืบสวนอย่างเป็นธรรม” ปูตินกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับ นายแซร์โจ มัตตาเรลลา ประธานาธิบดีของอิตาลี
มีรายงานการโจมตีก๊าซพิษในวันที่ 4 เมษายน ในจังหวัดอิดลิบ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน โดยมหาอำนาจตะวันตกจำนวนมาก รวมถึงสหรัฐอเมริกาได้กล่าวหาว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลของ บาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีของซีเรีย
ปูตินกล่าวว่ามอสโกมีข้อมูลจากหลายแหล่งที่แตกต่างกันที่ระบุว่า “การปลุกปั่น” เช่นนี้ถูกเตรียมการไว้ในภูมิภาคอื่นๆ ของซีเรีย รวมทั้งเขตชานเมืองทางใต้ของกรุงดามัสกัสด้วย ซึ่งจะมี “สารบางชนิด” ที่ถูกโยนเข้าไป และจะมีการออกมากล่าวหาว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของซีเรีย
ปูตินกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2003 เมื่อตัวแทนของสหรัฐอเมริกาได้นำสารพิษมาแสดงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งยังกล่าวหาว่าพบสารพิษดังกล่าวในอิรัก เพื่อให้เกิดการสอบสวนในประเทศอิรักอีกด้วย
“หลังจากนั้น กองทัพก็ถูกส่งไปปฏิบัติการในอิรัก และผลลัพธ์ที่เกิดตามมาก็ คือ วิบัติของประเทศแห่งนี้ ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่เพิ่มขึ้น และการปรากฏตัวของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ในเวทีระหว่างประเทศ” ปูตินกล่าว
