เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จัดงานโอเพ่นเฮ้าส์ เปิดตัว “เอสดีเอ็น แอนด์ คลาวด์ คอมพิวติ้ง เซ็นเตอร์” ระบบสำหรับสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกแห่งหนึ่งบนพื้นฐานโครงสร้างเทคโนโลยีเครือข่ายที่ครบวงจรที่สุด เร็วที่สุด และทันสมัยที่สุด ภายใต้ความร่วมมือกับหัวเว่ยและจีเอเบิ้ล พร้อมตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลภายในปี 2563
ผศ.อัครินทร์ คุณกิตติ ผู้อำนวยการสำนักคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่าในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สจล. มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนด้านดิจิทัล ทรานฟอร์มเมชั่น ร่วมผลักดันวงการการศึกษาไทยก้าวสู่เอ็ดดูเคชั่น 4.0 (Education4.0) และต้องการเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในประเทศไทยที่ต้องการพัฒนาศักยภาพด้านระบบเครือข่ายและดาต้าเซ็นเตอร์
ด้านตัวแทนจากหัวเว่ย – ดร.จุมพต ภูริทัตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมาร์ท เอ็ดดูเคชั่น พัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในไทยและทั่วโลกด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน จึงได้นำเอาโซลูชั่นและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเข้ามาใช้เพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อโลกการศึกษาไปสู่โลกดิจิทัล สร้างความเท่าเทียมในโอกาสเรื่องการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพการสอน
จุดเด่นของระบบเครือข่ายของ สจล. ประกอบด้วย
1. ส่งถ่ายข้อมูลด้วยความเร็ว 100 กิกะบิตต่อวินาที – สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายและแบบต่อสายเพื่อการเรียนการสอนแบบสตรีมมิ่งออนไลน์ได้ในเวลาเดียวกันแบบไม่สะดุด รวมถึงสามารถนำเสนอสื่อมัลติมีเดียคุณภาพสูงเพื่อการเรียนการสอนได้อย่างดีเยี่ยม
2. เอสดีเอ็น ฟอร์ แคมปัส และ ดาต้า เซ็นเตอร์ คอนเวอร์เจ้นท์ – ระบบที่เชื่อมโยงเครือข่ายของมหาวิทยาลัยไว้เป็นหนึ่งเดียว รวมดาต้าเซ็นเตอร์เข้ากับแคมปัสเน็ทเวิร์ค ทำให้ผู้ดูแลระบบควบคุมได้ง่ายขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
3. คลาวด์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ – ศูนย์ข้อมูลจัดเก็บแบบบูรณาการ (All-in-one) ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการติดตั้ง
4. เครือข่ายไวไฟที่ครอบคลุมทั่วมหาวิทยาลัยถึง 3,000 จุด – ทำให้คณาจารย์และนักเรียนสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทุกที่ภายในมหาวิทยาลัย
ข้อดีของดาต้าเซ็นเตอร์ที่อยู่ในรูปแบบตู้คอนเทนเนอร์คือสามารถประหยัดงบประมาณมากกว่าเดิม 3 เท่าและประหยัดเวลาในการติดตั้งมากกว่าแบบเดิมถึง 5 เท่า มีความยืดหยุ่นในการต่อเติมขยายโดยไม่กระทบประสิทธิภาพ โดยหัวเว่ยได้นำเอาประสบการณ์ดาต้า เซ็นเตอร์ในรูปแบบคอนเทนเนอร์จากที่เคยทำในต่างประเทศมาช่วยให้ทาง สจล. ได้ดาต้า เซ็นเตอร์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ยังออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในเชิงกายภาพอีกด้วย
เรียบเรียงและรายงาน: อรอนงค์ อรุณเอก 林敏儿