โมเดลจีนรับมือโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาระลอกใหม่ในมณฑลฝูเจี้ยน

0
2

โมเดลจีนรับมือโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาระลอกใหม่ในมณฑลฝูเจี้ยน
.
ล่าสุดโควิด-19 สายพันธุ์เดลตากลับมาโจมตีจีนอีกครั้ง ทำให้จีนเกิดการระบาดระลอกใหม่ที่มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) หลังจากที่ระบาดไปที่หนานจิงและกวางโจวก่อนหน้านี้
.
ตั้งแต่วันที่ 10 – 15 กันยายน ฝูเจี้ยนตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในท้องถิ่นรวม 204 รายแล้ว แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในเมืองผูเถียน 129 ราย เมืองเซี่ยเหมิน 53 ราย และเมืองฉวนโจว 18 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ 4 ราย
.
การระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา จากการทดสอบกรดนิวคลีอิกในเด็กนักเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในตำบลเฟิงถิง อำเภอเซียนโหยว เมืองผูเถียน มณฑลฝูเจี้ยน ปรากฏว่า มีเด็กนักเรียน 2 คนมีผลเป็นบวก จึงได้ขยายการตรวจกรดนิวคลีอิกทันที พบผลบวกเพิ่มอีก 4 คน เป็นเด็กนักเรียน 1 คน และผู้ปกครอง 3 คน
.
ได้รับการยืนยันในเบื้องต้นว่า การระบาดระลอกนี้เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยมีคุณหลิน ผู้ปกครองเด็กนักเรียนหนึ่งคนซึ่งติดเชื้อเป็นต้นตอ จากการตรวจสอบทางระบาดวิทยาพบว่า คุณหลินโดยสารเครื่องบินเดินทางมายังสนามบินเซี่ยเหมินในฝูเจี้ยนเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ตามนโยบายป้องกันโควิดที่จีนใช้อยู่ในปัจจุบัน ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศต้องรับการกักตัวแบบรวมศูนย์ “14+7” วัน และต่อด้วยการสังเกตอาการที่บ้านต่ออีก 7 วันก่อนใช้ชีวิตได้ตามปกติ คุณหลินเข้ารับการกักตัวแบบรวมศูนย์ที่โรงแรมในเมืองเซี่ยเหมินเป็นเวลา 14 วัน และวันที่ 19 สิงหาคมเขาย้ายไปกักตัวต่อที่สถานกักตัวแบบรวมศูนย์ในอำเภอเซียนโหยวเป็นเวลา 7 วัน คุณหลินได้รับการตรวจกรดนิวคลีอิกเมื่อวันที่ 19, 22 และ 24 สิงหาคม มีผลเป็นลบทั้ง 3 ครั้ง จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการเฝ้าระวังอาการที่บ้านเป็นเวลาอีก 7 วันตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าสำหรับคุณหลินแล้วการกักตัวอย่างจริงจัง 21 วันยังคงไม่เพียงพอ เขาแพร่เชื้อไวรัสแก่สมาชิกครอบครัวโดยไม่รู้ตัวในช่วงเฝ้าระวังอาการที่บ้าน
.
หลังจากพบผู้ติดเชื้อเป็นต้นมา ทางการท้องถิ่นได้ยกระดับการป้องกันและควบคุมอย่างต่อเนื่อง วันที่ 13 กันยายนรัฐบาลเมืองผูเถียนจัดงานแถลงข่าวสถานการณ์โควิด ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน จนถึงเวลา 20 นาฬิกา วันที่ 13 กันยายน เมืองผูเถียนตรวจพบผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นรวม 79 ราย ได้ทำการตรวจสอบผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อจำนวน 1,770 คน และผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดรองลงมา 1,866 คน ทางการได้ใช้มาตรการควบคุมการเข้าออกชุมชนทั้งหมดในเมืองผูเถียนแล้ว อำเภอเซียนโหยวซึ่งมีประชากรราว 9 แสนคนจะเสร็จสิ้นการตรวจกรดนิวคลีอิกแก่ทุกคนในอำเภอรอบแรกภายในวันที่ 13 กันยายน และจะเริ่มการตรวจกรดนิวคลีอิกแก่ทุกคนเป็นรอบที่สองตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน โดยได้ตั้งจุดตรวจทั้งหมด 430 จุด สำหรับตำบลเฟิงถิงที่มีความเสี่ยงสูงนั้นได้เสร็จสิ้นการตรวจกรดนิวคลีอิกแก่ทุกคนแล้วสองรอบ ในเวลา 20 นาฬิกา วันที่ 13 กันยายน และกำลังเริ่มการตรวจเป็นรอบที่สามแล้ว
.
คณะกรรมการสาธารณสุขและสุขภาพแห่งชาติจีนได้ส่งคณะทำงานไปยังมณฑลฝูเจี้ยนเพื่อชี้นำการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน และเมื่อวันที่ 12 กันยายนภายหลังการแลกเปลี่ยนและหารือกัน คณะทำงานมีข้อสรุปในเบื้องต้นว่า หากเปรียบเทียบกับการระบาดเฉพาะจุดหลายครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ การระบาดระลอกใหม่นี้มีลักษณะที่น่าสนใจดังนี้
.
หนึ่ง โรงเรียนเป็นสถานที่แรกที่พบผู้ติดเชื้อโควิดในครั้งนี้ มีเด็กอายุน้อยติดเชื้อค่อนข้างมาก สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในจีน ในบรรดาผู้ติดเชื้อ 64 รายตามรายงานนับจนถึงวันที่ 13 กันยายน มีถึง 19 รายที่มีอายุเพียง 3 – 12 ปี เด็กกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน จึงมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้ป่วยอาการหนัก
.
สอง ในปัจจุบันตำบลเฟิงถิงได้เกิดคลัสเตอร์แหล่งแพร่เชื้อโควิด 2 แห่ง คือ โรงเรียนประถมศึกษาที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรก และโรงงานรองเท้าแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองแห่งต่างก็เป็นแหล่งที่มีคนหนาแน่น การกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้มีความเสี่ยงรองลงมาค่อนข้างยากลำบาก โดยเฉพาะการกักตัวเด็ก ๆ แบบรวมศูนย์นั้นต้องจัดให้ผู้ปกครองอยู่เป็นเพื่อนคอยให้ความดูแลด้วย
.
สาม การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทก่อน ขีดความสามารถของชนบทในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับเขตเมือง
ผู้เชี่ยวชาญของคณะทำงานวิเคราะห์ด้วยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันถือว่ารุนแรงและสลับซับซ้อน มีความเป็นไปได้สูงที่จะตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในชุมชน โรงเรียน โรงงาน ฯลฯ ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะแพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
.
เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาระบาดลามไปยังที่อื่นอย่างรวดเร็วตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ โดยเมื่อวันที่ 13 กันยายน เมืองเซี่ยเหมินมีรายงานพบผู้ติดเชื้อในท้องถิ่น 32 ราย เมืองฉวนโจวพบ 3 ราย วันที่ 14 กันยายน เมืองเซี่ยเหมินซึ่งมีประชากรราว 5.2 ล้านคนตัดสินใจทำการตรวจกรดนิวคลีอิกแก่ทุกคนในเมือง พร้อมยกระดับมาตรการเข้มข้นเช่นเดียวกับเมืองผูเถียน เช่น สั่งให้เปลี่ยนการเรียนการสอนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ทุกระดับการศึกษา หยุดให้บริการรถประจำทาง รวมทั้งปิดสถานบันเทิงต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อวันที่ 14 กันยายน มณฑลฝูเจี้ยนได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงต่อโควิด-19 ระดับสูง 2 แห่ง ซึ่งอยู่ในเมืองเซี่ยเหมินและเมืองผู่เถียน กำหนดพื้นที่เสี่ยงระดับปานกลาง 4 แห่ง ซึ่งอยู่ในเมืองผู่เถียน 3 แห่ง และเมืองฉวนโจว 1 แห่ง
ผู้เชี่ยวชาญจีนให้คำแนะนำว่า “ในภาวะปกติใหม่แห่งการป้องกันและควบคุมโควิด ความเร็วชี้ขาดขนาดการระบาด” “ความเร็ว” ในที่นี้หมายถึงความเร็วในการตรวจกรดนิวคลีอิก ความเร็วของการตรวจสอบทางระบาดวิทยา ความเร็วของการกักตัวและล็อกดาวน์ จำเป็นต้องเร่งความเร็วเพื่อแข่งเวลากับเชื้อไวรัส
.
ตามคำแนะนำของคณะทำงาน ฝูเจี้ยนได้ระดมบุคลากรและอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ภายในมณฑลรุดหน้าไปให้ความเหลือพื้นที่เกิดการระบาด ปัจจุบันการตรวจกรดนิวคลีอิกดำเนินไปตลอด 24 ชั่วโมง มีรายงานข่าวว่าตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม – 10 กันยายน จำนวนผู้เดินทางออกจากเมืองผูเถียนมีประมาณ 30,000 คน หลังจากเกิดการระบาดผูเถียนได้ออกหนังสือไปยังทุกมณฑลเพื่อแจ้งให้ทราบ แต่ละที่ได้ดำเนินการตรวจคัดกรองทันที เช่น เมืองเฉิงตูในมณฑลเสฉวน เมืองจูไห่ ฝอซาน และฮุ่ยโจวในมณฑลกวางตุ้ง เป็นต้น ต่างออกคำเตือนฉุกเฉินขอให้ผู้มีประวัติเดินทางไปยังอำเภอผูเถียน มณฑลฝูเจี้ยนต้องรายงานตัวและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคระบาดของท้องถิ่นที่ตนพำนักอยู่เพื่อลดความเสี่ยงที่มีต่อทั้งส่วนตนและส่วนรวม
.
โดยภาพรวมแล้วการรับมือกับการระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้จีนยังคงเน้นการตัดห่วงโซ่การระบาดให้เร็วที่สุดและพยายามทุกวิถีทางเพื่อบรรลุการ “พบเร็ว กักตัวเร็ว วินิจฉัยเร็ว และรักษาเร็ว”
เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ต้องใช้มาตรการหลายด้าน ที่สำคัญ คือ การปูพรมตรวจกรดนิวคลีอิกแก่ทุกคนที่เข้าข่ายเสี่ยงเพื่อคัดกรองผู้ติดเชื้อทั้งแสดงอาการและไม่แสดงอาการออกมาให้เข้าสู่ระบบการควบคุม การล็อกดาวน์พื้นที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อมาแล้วอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันการระบาดออกไปสู่ภายนอก การตรวจสอบทางระบาดวิทยาเพื่อดำเนินการกักตัวผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้ที่เข้าข่ายเสี่ยงสูงอื่น ๆ ตลอดจนมาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็นทางด้านการคมนาคมและมาตรการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ถูกล็อกดาวน์ เป็นต้น คณะทำงานคาดการณ์ว่าด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาจีนจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่นี้ได้ในไม่ช้า
.
เขียนเรียบเรียงโดย Lu Yongjiang
เจ้าหน้าที่ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชีย-แอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน