บทบาทและแนวทางในการดูแลรักษา ใต้ตาดำ ขอบตาคล้ำ โดยแพทย์

0
2

บทบาทและแนวทางในการดูแลรักษา ใต้ตาดำ ขอบตาคล้ำ โดยแพทย์

 

แพทย์หญิงอัชฌา ทางพัฒนกุล (หมอบีม) ผู้อำนวยการแพทย์เฉพาะทาง The VOGUE Clinic  แพทย์ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์มากในด้านการดูแลสุขภาพและความงาม ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในงานประชุม Biostimulators Update 2024 ครั้งที่ 20 ซึ่งจัดโดยสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ  ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

 

โดยงานประชุมดังกล่าว ประกอบด้วยการบรรยาย จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ผิวหนัง ที่เน้นให้ความรู้เกี่ยวข้องกับหัตถการผิวพรรณ และนวัตกรรมล่าสุดเพื่อให้แพทย์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยให้ได้ผลดีขึ้น อย่างถูกหลักวิชาการและลดการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การประชุมดังกล่าวคาดว่าจะมีบุคลากรทางการแพทย์ และแพทย์ผู้สนใจเข้าร่วมงานประชุมประมาณ 500-600 ท่าน โดยในงานจะกล่าวถึงนวัตกรรม และแนวทางการดูแลรักษาด้วยสารกระตุ้นคอลลาเจนต่างๆ อัพเดทล่าสุดในวงการแพทย์ปัจจุบัน

 

การนำเสนอของหมอบีม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจาะลึกความซับซ้อนในการต่อสู้กับรอยคล้ำใต้ตา และความผิดปกติของร่องน้ำตา โดยให้ความรู้ถึงธรรมชาติในเรื่องนี้ที่มีหลายแง่มุม นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่การประยุกต์ใช้ “PDO Microsphere Biostimulator” เพื่อร่วมในการรักษาเพื่อสร้างผลลัพธ์ บนพื้นฐานหลักฐานทางการแพทย์ที่กล่าวถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้สาร อีกด้วย

 

โดยช่วงแรกของการบรรยาย คุณหมอบีมได้อธิบายถึงสาเหตุของปัญหา “ขอบตาคล้ำ” อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ความบกพร่องทางพันธุกรรม ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผิวหนังตามวัย โดยทั่วไป ตาคล้ำเป็นหนึ่งในปัญหาพบมาก ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นอาทิ สาเหตุพันธุกรรม โดยบางคนมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม  การเปลี่ยนแปลงสีผิวของตำแหน่งอื่น ๆ บนใบหน้าอาจมีผลต่อการมีเงาคล้ำรอบตาด้วย เช่น การมีรอยสักหรือการปรับเปลี่ยนสีผิวที่ไม่สมดุล การแพ้หรือสภาพความผิดปกติอื่น ๆ ก็สามารถทำให้เส้นเลือดรอบตาขยายขนาด และการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อที่รอบตา สามารถทำให้เงาคล้ำรอบตาเกิดขึ้นได้ ความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด อายุ หรือสภาวะอื่นที่ทำให้ผิวบริเวณรอบตาเสื่อมสภาพ และทำให้เงาคล้ำรอบตาเกิดขึ้น และ ปัจจัยอื่นที่ทำให้ผิวมืดขึ้น เช่น การทาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หรือยาที่ไม่เหมาะสมกับผิว การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูดบุหรี่ นอกจากนี้การเจ็บป่วย หรือขาดสารอาหารสามารถทำให้เกิดเงาคล้ำรอบตาได้ เนื่องจากการขาดสารอาหารสามารถทำให้ผิวดำสีขึ้นได้

 

 

คุณหมอได้สรุปสาเหตุที่พบบ่อยที่ส่งผลให้เกิดเงาคล้ำรอบตามีดังนี้

1.) ภูมิแพ้ (Allergic Shiner) สาเหตุจากการมีภูมิต้านทานต่ำต่อสารเฉพาะ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการหอบหีด คันผิวหนัง คันรอบดวงตา และจามตอนเช้า การใช้ยาแก้แพ้และระงับการเกิดการระคายเคืองสามารถช่วยลดการเสียดสีใต้ดวงตาลงได้

2.) การขาดน้ำ เมื่อร่างกายขาดน้ำ สีผิวใต้ดวงตาจะเข้มขึ้น เร็ว อาการท้องเสียหรือตาโบ๋อาจเป็นเครื่องสัญญาณเตือนการขาดน้ำ ส่งผลให้เกิดเงาคล้ำรอบตา

3.) อายุมาก ขณะที่อายุเพิ่มขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังมักเริ่มฝ่อเล็กลง รวมถึงน้ำใต้ผิว หรือความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื่นใต้ผิวก็ลดลงไปด้วยทำให้ขอบตาดำลงได้

4.) ผิวบางลง ด้วยอายุที่มากขึ้นส่งผลต่อผิวหนังอาจบางลง ซึ่งทำให้เส้นเลือดใต้ผิวเป็นโปร่งใสและมองเห็นเป็นดำ ม่วง หรือเขียว

5.) ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดลดลง เมื่อเส้นเลือดหรือวาล์วภายในหลอดเลือดไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ เส้นเลือดอาจขยายขนาด หรือมีการระบายเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดเงาคล้ำรอบตา

6.) กายวิภาค (Anatomy)  เช่น คนที่มีลักษณะกายวิภาคเบ้าตาลึก ที่เหมือนมีเงาคล้ำโทรมรอบตาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เล็กๆ เป็นต้น

 

จากประสบการณ์การทำงานและรักษาคนไข้ คุณหมอได้สรุปแนวทางการรักษาที่ครอบคลุม โดยเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของการรักษารูปแบบดั้งเดิม เช่น การรักษาเม็ดสีที่เพิ่มมากกว่าปกติด้วยเทคนิคการใช้เลเซอร์แบบ pico อาจไม่ส่งผลให้ผิวขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้มักจะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล และมักจะเป็นผลของการรักษาที่ไม่คงที่ การใช้คลื่นเลเซอร์แบบ long pulsed ND yac จัดการกับเส้นเลือดขนาดเล็กมักให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่เมื่อเจอกับเส้นเลือดขนาดใหญ่ที่โป่งพอง การรักษาอาจจะยากขึ้น การใช้เทคนิค laser toning มักไม่ทำให้เกิดแผลและมักไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะต้องมีการสร้างแผลเล็กน้อยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ การใช้ยาหรือครีมมักไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาเม็ดสีที่เพิ่มมากกว่าปกติ ในส่วนของการแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น และยืดหยุ่นให้กับผิวได้ แต่หากใช้ฟิลเลอร์ในพื้นที่ตื้นเกินไปหรือไม่ถูกต้องตามกายวิภาคศาสตร์ของแต่ละบุคคล อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือดูไม่เป็นธรรมชาติได้ เราสามารถใช้เทคนิคการฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเสริมความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวได้ เทคนิคนี้ได้รับการศึกษาและถือว่าปลอดภัยในการใช้ในทางการแพทย์

 

ไฮไลท์การนำเสนอของคุณหมอบีม คือ บทบาทของ PDO (Polydioxanone) Microsphere Biostimulator ซึ่งเป็นสารกระตุ้นทางชีวภาพ มักถูกใช้ในกระบวนการฟื้นฟูผิวหนัง โดยเป็นการฉีดสารเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และมีความยืดหยุ่น เมื่อสาร PDO Microsphere Biostimulator ถูกฉีดเข้าไปในผิวหนัง มันจะกระตุ้นเซลล์ใต้ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ กระชับ และลดริ้วรอยได้ นอกจากนี้ ยังเป็นวิธีการที่ล้ำสมัยซึ่งออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูบริเวณรอบดวงตาที่บอบบาง ด้วยการใช้ศักยภาพในการฟื้นฟูของไมโครสเฟียร์ PDO หมอบีมยังได้เสนอแนวทางในการจัดการกับปัญหารอยคล้ำใต้ตาและความผิดปกติของร่องน้ำตาด้วยความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับข้อมูลของแพทย์หญิงอัชฌา ทางพัฒนกุล (หมอบีม)  The VOGUE Clinic สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Website : https://www.thevogueclinic.com