ปักกิ่ง คือเมืองหลวงปัจจุบันของจีน แต่น้อยคนจะทราบว่าอดีตเมืองหลวงมีถึง 7 แห่งคือ ซีอาน ลั่วหยาง นานกิง ไคฟง หางโจว อันหยาง และเจิ้งโจว โดยเมืองที่เก่าแก่ที่สุดคือ “ซีอาน”เพราะมีบันทึกประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,100 ปี ว่าซีอานเคยเป็นเมืองหลวงของ 13 ราชวงศ์ ปัจจุบันเป็นเมืองเอกของมณฑลส่านซี เป็นเมืองที่เจริญและใหญ่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน แต่ภาพพจน์ของซีอานคือเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวในโลก
หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครบังอาจลอกเลียนได้คือ “สุสานกองทัพทหารดินเผาจักรพรรดิจิ๋นซี” หรือ “ฉินสื่อหวง ปิงหมาหย่ง” ที่ชาวนาค้นพบเศษซากทหารดินเผาเข้าโดยบังเอิญเมื่อปีพ.ศ. 2517 จุดที่พบอยู่ห่างจากเมืองซีอานประมาณ 35 กิโลเมตร เมื่อทางราชการเข้ามาขุดสำรวจอย่างเป็นทางการก็พบทหารดินเผาเท่าตัวจริงความสูง 1.7 ถึง 2.2 เมตร เป็นกองทัพกว่า 8,000 ตัว พร้อม อาวุธ รถศึก ม้าเทียมรถมากมายทั้งที่สมบูรณ์และแตกหัก
ปัจจุบันมีการสร้างอาคารขนาดใหญ่ 3 หลังครอบสุสาน พร้อมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซีเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมความมหัศจรรย์ที่สรรค์สร้างขึ้นเมื่อกว่า2,000ปีก่อน โดยมีหลักฐานชัดเจนว่าฉินสื่อหวงตี้ หรือที่คนไทยเรียก “จิ๋นซีฮ่องเต้” เป็นผู้บัญชาให้สร้างขึ้นช่วงครองราชย์โดยใช้เวลาก่อสร้าง 38 ปี( 247-208 ก่อนคริสตกาล) คาดว่าใช้แรงงานที่เป็นคนงานและเชลยศึกถึง 730,000 คน โดยมุ่งหวังจะสร้างวังที่ประทับพร้อมกองทัพและข้าราชบริพารไว้สำหรับโลกหลังความตาย ขนาดของสุสานทั้งหมดคาดว่ากินพื้นที่กว่า 2,180 ตารางกิโลเมตร
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งบอกว่าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นปฐมจักรพรรดิของจีนที่มองกว้างคิดไกลทำใหญ่และเด็ดขาด เพราะเป็นผู้ควบรวมแผ่นดินจีนจาก 7 มหานครรัฐ ซึ่งเดิมมี รัฐฉี รัฐฉู่ รัฐเอี้ยน รัฐหาน รัฐจ้าว รัฐเว่ย และรัฐฉิน ให้มาเป็นหนึ่งเดียว แล้วจัดระบบการปกครองใหม่เป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ปฏิรูปตัวอักษรจีน วางมาตรฐานระบบชั่ง ตวง วัด สร้างกำแพงเมืองจีนและเชื่อมต่อกำแพงแว่นแค้วนเพื่อป้องกันข้าศึกจากนอกด่านด้านเหนือ แม้กระทั่ง “เผาตำรา-ฝังบัณฑิต”จัดการผู้ที่เห็นต่างเพื่อสร้างเอกภาพทางด้านความคิด
ว่ากันว่าเป้าหมายใหญ่สุดที่จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งไว้คือการเอาชนะความชราและความตาย โดยมีความพยายามเสาะหายาวิเศษ ยาอายุวัฒนะ น้ำอมฤต ในทุกที่ทุกแห่งตามคำเล่าลือ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้แก่โรคภัยหรืออาจจะจากยาวิเศษที่หมอหลวงปรุงถวายแล้วกลับกลายเป็นยาพิษก็ไม่รู้แน่
อย่างไรก็ตามหลังผ่านไป2,000ปี วันนี้ไม่เฉพาะคนจีนที่รู้จัก ฉินสื่อหวงตี้ แต่คนทั้งโลกได้รู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้จากผลงานต่างๆที่พระองค์สร้างเอาไว้เป็นอมตะเหนือกาลเวลา
เจ้าหน้าที่ที่พาคณะเราที่เป็นสื่อมวลชนไทยใน CIPG TRIP เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯและสุสานบอกว่า ปกติมีผู้เข้าชมปีละประมาณ 2 ล้านคน ปี 2018 มากถึง 2.7 ล้านคน ส่วนปี 2019 นี้ผู้เขียนเชื่อว่าถึงระดับ 3 ล้านคนแน่นอน เพราะสังเกตุจากในวันที่คณะของเราไปนั้นผู้เข้าชมเยอะมากๆๆ บางช่วงบางจุดมีสภาพแออัดเบียดเสียด โดยเฉพาะจุดที่มุมดีน่าถ่ายรูป ท่านจะเห็นภาพเกือบทุกคนหยิบโทรศัพท์มือถือชูกันสลอนเพื่อเก็บภาพที่ตนต้องการ ประกอบกับวันนั้นฝนตกจึงมีทั้งร่มและเสื้อกันฝนที่พาเอาน้ำฝนบางส่วนเข้าไปเปียกแฉะตามพื้นทางเดินของส่วนการแสดง
ความที่ผู้เข้าชมมีจำนวนมากทั้งชาวจีนที่มีทุกเพศวัย เยาวชนที่มากันเป็นกลุ่ม นักท่องเที่ยวชาวจีนจากต่างมณฑล และนักท่องเที่ยวต่างชาติ สังเกตุว่าหลายคณะจะมีไกด์นำ ไกด์จะมีไมโครโฟนบรรยายให้สมาชิกในคณะได้รับรู้ข้อมูลผ่านทางหูฟัง แต่เพราะความแออัดเลยเกิดบรรยากาศ “ตลาดแตก” คือเสียงไกด์ไทย จีน อังกฤษ ยุโรป แทรกกันอีรุงตุงนัง เลยจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทียืนห่างหน่อยสัญญาณก็ขาดๆหายๆ สุดท้ายเลยรีบๆเก็บภาพแล้วไปยืนเข้ามุมหลบคลื่นมนุษย์ที่ดูเหมือนจะไม่ลดน้อยลงเลย
นี่ถ้าทางการจีนมีการจัดระเบียบอย่างทางยุโรป คือทำให้การเข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือสุสานโบราณมีบรรยายกาศที่เงียบสงบ แบ่งกลุ่มผู้เข้าชมแต่ละคณะไม่ให้มากเกินไป เว้นระยะไม่ให้ชนกันก็จะช่วยให้เสียงของไกด์ที่บรรยายไม่ตีกัน ผู้เข้าชมจะได้รับฟังข้อมูลอย่างเต็มที่ได้บรรยากาศและอรรถรส ทุกคนจะเก็บภาพจำอันดีกลับไป หรือเอาไปขยายความต่อได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน