“ครูพี่ป๊อป” – หนุ่มสถาปัตย์สู่เหล่าซือสอนภาษาจีนสุดฮอต

0
9118

หนุ่มรูปหล่อกล้ามใหญ่คนนี้ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่เขาเป็นถึง “เหล่าซือ” หรือครูสอนภาษาจีน แห่งสถาบัน Chinese Pop-up สถาบันที่สอน “ให้พูดไทยได้เหมือนคนไทย พูดจีนได้เหมือนคนจีน”

ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล เป็นทั้งพิธีกรรายการโทรทัศน์ นักจัดรายการวิทยุ เจ้าของธุรกิจ แต่ครูพี่ป๊อปยกให้เป็นที่สุดของความภาคภูมิใจคือการเป็น “ครูสอนภาษาจีน”

รายการ On View ช่อง China Face ของเรามีโอกาสพูดคุยกับครูพี่ป๊อปแบบส่วนตัว เลยซอกแซกถามหาเทคนิคและความสำคัญในการเรียนภาษาจีนให้เข้าใจง่ายมาแบ่งปันกัน เพราะเราอดทึ่งไม่ได้ว่า คนที่ไม่ได้เรียนในระบบทำไมสามารถใช้ภาษาจีนได้ดี และดีจนกระทั่งสามารถเอามาถ่ายทอดผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งความน่าทึ่งในทักษะภาษาของครูพี่ป๊อปสะท้อนอยู่ในประโยคหนึ่งที่เขามักพร่ำพูดกับตัวเองและคนรอบข้างเสมอว่า “ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้ อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ แต่ถ้าไม่เริ่มวันนี้ สักวันสายไปแน่นอน”

#ผันตัวเองจากหนุ่มสถาปัตย์สู่เหล่าซือสอนภาษาจีนได้อย่างไร?

#ภาษาจีนคือภาษาที่ 3 ที่สำคัญที่สุดในโลกหรือไม่?

#เรียนภาษาจีนไม่ยากอย่างที่คิด ไม่ยากจริงอย่างที่ครูพี่ป๊อปกล่าวจริงหรือ?

-หนุ่มสถาปัตย์อย่างครูพี่ป๊อป ทำไมถึงมาเป็นครูสอนภาษาจีนได้?

ผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบภาษาจีนตั้งแต่แรก แต่เป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เกิด หลังจากเรียนจบปริญญาตรีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในยุคนั้นหลายต่อหลายคนเริ่มจะไปเรียนต่อเมืองนอกกัน ที่นิยมมากเป็นโซนฝรั่ง เช่น อังกฤษ อเมริกา แต่สำหรับผมถึงจุดอิ่มตัวแล้วสำหรับภาษาอังกฤษ คิดว่าเราสามารถที่จะศึกษาต่อเองได้ อีกอย่าง ถ้าหากว่าเราเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมไปก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าคนอื่น ก็เลยตั้งใจไปเรียนที่ประเทศจีน

ถามว่าทำไมเลือกประเทศจีน เป็นเพราะว่าตัวเองมีความชอบในศิลปะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และจีนถือว่ามีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่มากๆ ส่วนเมื่อพูดถึงวัฒนธรรม ก็ยังเป็นสายศิลปะที่แยกกันไม่ขาดอีก บวกกับตั้งแต่เด็กเติบโตมากับวัฒนธรรมจีน เพราะที่บ้านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นคนจีนแต้จิ๋ว คืออากง อาม่ามาจากเมืองจีน จึงเรียกได้ว่าตัวผมเองเป็นเลือดจีน 100% แต่ก็เหมือนกับเด็กไทยเชื้อสายจีนทั่วๆ ไปคือไม่สามารถพูดภาษาจีนได้ ตั้งแต่สูญเสียอากงอาม่าไป ภาษาจีนแต้จิ๋วก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย

แต่ที่จีน ผมไม่ได้เรียนทางด้านภาษาเลย เพราะไปเรียน MBA ปริญญาโท!

-พูดภาษาจีนได้ยังไง?

ผมไปเรียนหลักสูตร MBA บริหารธุรกิจ ภาค International เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ผมต้องการได้ภาษาที่ 3 จึงวางแผนไว้ว่า ภาษาอังกฤษใช้ในห้องเรียน ภาษาจีนใช้นอกห้องเรียน ถึงเวลาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมต้องการให้ภาษาจีนของผมดีขึ้นทุกวันๆ โดยที่ภาษาอังกฤษของผมไม่ถดถอยลง เพราะฉะนั้นเวลาเรียนผมเรียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวลาออกไปข้างนอกผมจะต้องโดดหนีไปจากกลุ่มคนไทยให้ได้ ต้องไปใช้ภาษาจีนให้ได้มากที่สุด สุดท้ายผมก็เลยได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน

พอเรียนจบ MBA ตัดสินใจทำงานต่อที่ประเทศจีน ตอนนั้นเลือกเป็นสถาปนิก เพราะว่าแบ๊กกราวด์เป็น “เจี้ยนจู๋ซือ” 建筑师 หรือสถาปนิกอยู่แล้ว เรียนมา 5 ปี ก็ต้องขอใช้ซะหน่อย ผมชอบสถาปัตยกรรมในประเทศจีนมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงเก่ามีพื้นที่ที่น่าสนใจมากมาย แต่พื้นที่ที่น่าสนใจสุดยอดที่สุด คือ “กู่โหลวต้าเจีย” “กู่” แปลว่า เก่า “โหลว” หมายถึงอาคาร “ต้า” หมายถึง ใหญ่ “เจีย” หมายถึง ถนน สรุปแล้ว “กู่โหลวต้าเจีย” หมายถึงโซนพื้นที่ของเมืองเก่า ถ้าหากว่านึกภาพไม่ออกเปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ก็บริเวณราชดำเนิน เยาวราช ตลาดน้อย ลักษณะที่เต็มไปด้วยของเก่า เมืองเก่า ในบริเวณ “กู่โหลวต้าเจีย” ก็คือบริเวณที่รายล้อมพระราชวังต้องห้าม หรือ “กู้กง” 故宫ทั้งหมด บริเวณนั้นมีเสน่ห์มากๆ คนไทยโดยทั่วไปหรือว่าฝรั่งก็ชอบไปเที่ยวกัน เพราะเขาเรียกว่า “เหลาเป่ยจิงตี้ชวู” เป็นพื้นที่ของคนปักกิ่งเก่าแก่

หลังจากนั้นผมก็ไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่งเป็นร้านกาแฟที่เปิดโดยคนต่างชาติ และสืบทราบว่าเป็นบริษัททำเกี่ยวกับงานสถาปนิก และด้านหลังเป็นวัดเก่าอีกต่างหาก วัดเก่านี้มีการทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ด้านหน้าทำเป็นร้านกาแฟ และโชคดีมีโอกาสได้นัดเจอกับเจ้าของที่เป็นคนบรูไน ถือได้ว่าเป็นเจ้านายคนแรกในชีวิตของผม

เขาชื่อว่ามิสเตอร์โรบิน ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าบุญคุณเขายิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะว่ามีโอกาสทำงานร่วมกับเขา ตอนนั้นเขามองแบบนี้คือ 1.ผมพูดภาษาอังกฤษได้ 2.ผมพูดภาษาจีนได้ ตัวเขาเองก็เป็นคนต่างชาติที่มาขุดทองอยู่ในปักกิ่งเช่นเดียวกัน ผมถือว่าเป็นเลขาของเขาเลย

พนักงานในบริษัทเป็นคนจีนทั้งหมด และในยุคนั้นชาวจีนจะมีความเชื่อถือฝรั่งหรือชาวต่างชาติอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการดีไซน์ รสนิยม การแต่งตัว อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรสนิยม คนจีนจะสนใจและมีความเชื่อถือ เพราะฉะนั้นงานด้านสถาปัตยกรรมก็อยู่ในข่ายเดียวกัน จะมีความเชื่อในบริษัทต่างชาติมาก

ตอนนั้นผมกับมิสเตอร์โรบินได้งานในประเทศจีนเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม 5 ดาว หรืออาคารออฟฟิศสูงๆ ในปักกิ่ง ในฐานะที่ผมทำงานอยู่ในวงการสถาปัตยกรรมที่ประเทศจีนมา 1 ปี บอกได้เลคนจีนสามารถสร้างอาคารระดับโลกได้เลย ดังคำพูดจีนที่บอกไว้ “อี้ เฟิน เฉียน อี้ เฟิน ฮั่ว” หรือ ให้เงินเท่าไหร่คุณก็ได้สินค้าคุณภาพเท่านั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้นประสบการณ์การทำงานของผม 1 ปี กับประสบการณ์การเรียนทั้งหมด 1 ปี กว่าๆ รวมเป็น 2 ปีกว่าๆ ที่อยู่ในประเทศจีน ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีสุดๆ ในช่วงหนึ่งของชีวิต

-ภาษาจีนเรียนยากจริงไหม?

ภาษาจีนถ้าฝรั่งเรียน – ยาก แต่คนไทย – ง่ายมากๆ หลักสูตรที่สอนอยู่ที่โรงเรียนตอนนี้คือหลักสูตร 24 ชั่วโมง จะมีค่าเท่ากับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ 2 ปี ภาษาจีนจะยากแค่การออกเสียง แต่หลังจากที่คุณผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ หรือที่เรียกว่าระบบพินอิน คุณจะสามารถพูดออกไปได้เยอะมากๆ

ภาษาจีนกับภาษาไทยเป็นภาษาเป็นภาษาพี่น้องกัน เพราะว่าภาษาไทย-ภาษาจีนไม่มีการเปลี่ยนรูปของ Tense ไม่มีเปลี่ยนกิริยา 3 ช่องเหมือนภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งจำนวนของพยางค์ยังเท่ากันเลย เช่น “ผมอยากออกไปดื่มกาแฟแล้ว” ภาษาจีนว่า “หว่อ เย่า ชวู ชวี่ เฮอ คาเฟย เล่อะ” ทั้งหมดนี้มีพยางค์เท่ากันกับภาษาไทย ดังนั้นไม่มีภาษาไหนในโลกที่ใกล้เคียงกับภาษาไทยมากขนาดนี้

ทำไมจะไม่เรียนละ

-เคล็ดลับในการเรียนภาษาจีนให้เข้าใจง่าย

เคล็ดลับในการเรียนภาษาจีนก็คือ “ต้องใช้ให้บ่อย” ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามถ้าหากว่าคุณมีการใช้อยู่เป็นประจำทุกอย่างจะซึมเข้าไปโดยอัตโนมัติ และต้องมี Passion มีความอยาก ถ้าหากไม่มีความสนใจในสิ่งนั้นจริงๆ จะเก่งยากมากๆ

หลายคนบอกต้องไปเรียนประเทศจีน ผมว่าไม่จำเป็น ทุกวันนี้เรามีสื่อมากมายไม่ว่าจะเป็นเพลง YouTube ภาพยนตร์ซีรี่ย์ หรือการเป็นเพื่อนกัน ทุกวันนี้คนจีนในเมืองไทยเป็นล้าน ทำไมคุณต้องเอาตัวเองไปอยู่ประเทศจีน? ผมมองว่าไม่จำเป็น เด็กบางคนเรียนเอกภาษาจีนอยู่เมืองไทย 4 ปี เก่งกว่าคนที่ไปเรียนประเทศจีนเป็นไหนๆ เพราะเขามี Passion เขามีใจ ในขณะที่บางคนไม่ได้เรียนเอกภาษาจีนเลย เรียนสถาปัตย์ เรียนวิศวะ เรียนบัญชี แต่ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงในการเรียนภาษาจีนด้วยตัวเอง กลับเก่งมากกว่าพวกที่เรียนเอกภาษาจีนก็มีทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่พรสวรรค์แต่เป็นพรแสวง ภาษาจีนบอกว่า “สู เหนิง เซิง เฉี่ยว” หลายคนบอกว่าผมเก่งเพราะไม่เคยเรียนภาษาจีน ซึ่งผมว่านั่นคือ “พรแสวง”

“สู เหนิง เซิง เฉี่ยว” ยิ่งใช้บ่อยยิ่งเป็น ยิ่งเก่ง ไม่ใช่เรื่องของคุณสมบัติความสามารถพิเศษอะไรเลย เพราะฉะนั้นนี่คือเทคนิคอย่างเดียว

-ถ้าไม่มีพื้นฐานอะไรเลย เริ่มต้นยังไงดี?

ต้องเริ่มจาก “ความสนใจ” ก่อน ถ้าหากว่าคุณสนใจแล้วเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง ถ้าหากคุณชอบฟังเพลงให้เริ่มจากการฟังเพลงก่อน เพลงไหนรู้สึกว่าเพราะก็เริ่มฟังเพลงนั้น หนังเรื่องไหนที่รู้สึกว่าสนุกก็เริ่มดูหนังเรื่องนั้น ดูเป็นพากย์ไทยก็ได้ ถ้ารู้สึกว่าสนุกแล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงจีน เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนได้หมด พอดูเสียงจีนเสร็จ ตอนแรกเราอาจเปิดซับไทยคู่ไปด้วย ตอนหลังเราก็เปิดซับจีน และก็เปิดเสียงไทยฟังเทียบกันไปมา ทุกอย่างก็จะค่อยๆ มา หรือถ้าคุณอยากคบเพื่อนคนจีนมากขึ้นก็ยิ่งดี ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน เราได้รู้เรื่องจีน เขาได้รู้เรื่องไทย ตอนที่ผมไปอยู่เมืองจีนผมต้องจีบสาวจีนก่อน (อันนี้เป็น Passion ส่วนตัว) หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมไปเดินตลาด ผมรู้จักพ่อค้าแม่ค้าทุกคน ภาษาจีนผมเก็บมาจากข้างถนนทั้งนั้น ผมไม่เคยนั่งห้องเรียน

ครั้งแรกที่ผมไปขอสอบ HSK อาจารย์ไม่ให้สอบ เพราะเขาบอกว่าผมพูดเก่งมาก เขาเอาข้อสอบ HSK ระดับ 6 มาให้ผมทำ ผมทำไม่ได้เลย แล้วเปลี่ยนมาให้ผมลองทดสอบระดับ 5 4 3 2 ไล่ลงมา ปรากฎว่าผมทำได้แค่ระดับ HSK 2 เพราะว่าผมไม่รู้หนังสือ ผมไม่เคยเรียนหนังสือ วันๆ ผมได้แต่พูดจากับพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ตามตลาด ผมเดินดุ่มเข้าไปถาม “เจ้อ ซื่อ เสิน เมอะ?” “เจ้อ เจี้ยว เสิน เมอะ?” “เจ้อ ซื่อ เสิน เมอะ จี? – นี่ไก่อะไร? แล้วก็เครื่องในไก่ข้างในส่วนนั้นส่วนนี้เรียกว่าอะไร” ผมเป็นคนชอบพูดชอบเจรจา ลักษณะแบบนี้ทำให้ได้รู้ศัพท์ใหม่ๆ เข้าไปเยอะแยะในแต่ละวัน

ทุกสถานที่ของผมคือห้องเรียน ทุกสถานที่คือที่ที่ผมสามารถเรียนรู้ได้

-ถ้าเรียนภาษาจีน เรียนไปไม่ได้ใช้ จำเป็นจะต้องเรียนไหม?

เรียนแล้วไม่ได้ใช้อย่าเรียน แต่การใช้ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แค่ใช้ดูหนังก็ถือว่าใช้ แค่ใช้ฟังเพลงก็ถือว่าใช้ อย่าคิดว่าต้องไปใช้หาเงินหาทอง ไม่จำเป็นเสมอไป คนแก่สูงอายุบางคนมาเรียนกับผม ถามว่าเรียนทำไม? เพราะไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ นั่นก็เรียกว่าใช้สมอง

เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณเรียนแล้วคุณได้เอาไปใช้อะไรสักอย่างโดยที่เป็นความชอบเป็นความสนใจส่วนตัวของคุณ นั่นก็คือการได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว

-อยากให้พูดถึงความสำคัญของภาษาจีน

หลายคนพยายามมองหาภาษาที่ 3 ทุกวันนี้ถ้าถามผมว่าภาษาที่ 3 ที่สำคัญที่สุดในโลกคือภาษาอะไร ผมตอบได้ทันทีว่าคือ “ภาษาจีน” ใครที่กำลังมองหาภาษาอื่นอยู่นอกจากภาษาอังกฤษ ผมก็จะแนะนำให้เรียนภาษาจีน ถ้าหากว่าเรามองภาพของจีนทุกวันนี้ในทั่วโลก เราจะเห็นว่าจีนมีบทบาทอย่างมากในเวทีโลก ในทุกๆ วงการไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งวงการบันเทิง หรือการแพทย์ เศรษฐกิจของจีนเข้ามาครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง

ดูง่ายๆ การท่องเที่ยวบ้านเราทุกวันนี้ ถ้าหากว่าขาดนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นอย่างไร นักท่องเที่ยวจีนถือว่าเป็นอันดับ 1 ในปี 2005 มีนักท่องเที่ยวจีนแค่ 700,000 คน ทุกวันนี้ทะลุ 10 ล้านคนแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนดีถึงสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวจีนออกมาท่องเที่ยวได้ทั่วโลก และสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทั่วโลก นั่นคือกระแสที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้นๆ และท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บอกว่าในอีก 2 ปี จะเดินทางออกมาประมาณ 400 ล้านคนต่อปี นั่นหมายความว่าเพิ่มขึ้นเท่าตัวอย่างแน่นอน

ถ้าหากว่าจะพูดถึงความสำคัญของภาษาจีน เราพอจะมองเห็นภาพและรู้กันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเริ่มเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

-ณ ตอนนี้อาชีพครูสอนภาษาจีนใช่สำหรับครูพี่ป๊อปหรือยัง?

ครูสอนภาษาเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุขมากที่สุด ความเป็นจริงแล้วคำว่า “ครู” ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทย ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ แต่ความเป็นจริงแล้วผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นครู เพราะว่าผมเองไม่ได้ผ่านการอบรมการเรียนทางด้านภาษาจีนมาเลย แต่ที่ผมนำมาถ่ายทอดให้กับนักเรียนไทยทุกวันนี้ได้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ผมรู้ว่าปัญหาของคนไทยในการเรียนภาษาคืออะไร โดยที่ตำราส่วนมากจะเกิดจากการถ่ายทอดจากคนจีนที่ต้องการจะถ่ายทอดให้คนไทยหรือคนต่างชาติ แต่ความรู้และวิธีการเรียนรู้ภาษาจีนของผมเกิดจากประสบการณ์และความอยากรู้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งล้วนๆ รู้ว่าคนไทยถ้าหากเรียนคำนี้ ประโยคนี้ โครงสร้างนี้ จะติดขัดตรงไหน ผมถึงได้มีการรวบรวมเอาเทคนิคต่างๆ มาถ่ายทอด ผมถึงมีความสุขทุกครั้งที่ผมสอน และในขณะที่ผมสอนผมก็เป็นผู้เรียนด้วยเช่นกัน

ผมสอนภาษาจีนมา 10 ปี ผมกล้าบอกว่าผมเก่งขึ้นทุกปี เพราะมีนักเรียนสอนตลอด

ทุกคำถามที่นักเรียนถาม ถ้าไม่รู้ผมก็บอกว่าไม่รู้ และก็ไปหาคำตอบมา นั่นทำให้ได้เรียนรู้เพิ่ม เพราะฉะนั้นนักเรียนก็เป็นครูของผม ผมก็เป็นครูของนักเรียน จึงทำให้เกิดความสุขสนุกสนานกันเองตลอดเวลาที่สอนหนังสือ

นี่คืออาชีพที่ผมชอบและมีความสุขที่สุด เพียงแต่ว่าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ในชีวิตเท่านั้น

เรียบเรียงโดย : ยุพินวดี คุ้มกลัด