เรื่องน่ารู้ของนักท่องเที่ยวจีนแห่งปี 2023

0
2

ปี 2023 เป็นปีที่การท่องเที่ยวโลกจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะได้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หลังจีนมีมาตรการผ่อนคลายสถานการณ์โควิด-19

ข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ระบุว่า ในปีค.ศ. 2019 ก่อนโควิด-19 จีนมีขนาดตลาดของการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยนักท่องเที่ยวจีนท่องเที่ยวต่างประเทศ 154.6 ล้านครั้ง และใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 255,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนต้องการไป

Trip.com ระบุว่า จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนมีการจองมากที่สุดในช่วงต้นปีนี้ คือ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และประเทศไทย จะเห็นว่าเป็นประเทศในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากนักท่องเที่ยวมองว่าใช้เวลาเดินทางไม่นานและบัตรโดยสารราคาไม่แพง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ต่างกับเมื่อก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19

โดยเมื่อปีค.ศ. 2019  นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมา 11 ล้านคน รองลงมาคือ ญี่ปุ่น มีนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 9.5 ล้านคน ตามมด้วย เวียดนาม 5.8 ล้านคน เกาหลีใต้ 5.5 ล้านคน และสิงคโปร์ 3.6 ล้านคน

ถ้าเจาะลึกลงไปถึงไลฟ์สไตล์และรูปแบบการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มต่างๆ พบว่า นักธุรกิจอยากเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ญี่ป่น และยุโรป มากที่สุด ขณะที่นักเรียน นักศึกษา อยากเดินทางไปสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย ด้วยเหตุผลเรื่องการเรียนต่อและการกลับไปเยี่ยมสถาบันการศึกษาและเพื่อนๆ นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวที่อยากไปสำรวจประเทศใหม่ๆ ให้ข้อมูลว่า อยากไปประเทศไซปรัส โอมาน อิรัก รวันดา มาดากัสการ์ นามิเบีย  นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ จะสนใจประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม เช่น นอร์เวย์ เปรู แคนาดา นิวซีแลนด์  และถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ชอบทะเล จะสนใจเที่ยวทะเลที่มัลดีฟส์  เวียดนาม ไทย กัมพูชา

รูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปหลังยุคโควิด-19

หลังยุคโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนสนใจการท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ท่องเที่ยวอย่างอิสระมากกว่าการไปแบบคณะทัวร์ นักท่องเที่ยวยังให้ความสำคัญและสนใจเรื่องการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากจีนก็มีปัญหาเรื่องผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมีการรณรงค์เรื่องการท่องเที่ยวสีเขียวเช่นกัน โดยผลการสำรวจของ Dragon Trail พบว่า นักท่องเที่ยวร้อยละ 43 ระบุว่า สนใจการจองที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสนใจแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ได้สัมผัสกับวิถีชุมชน ทานอาหารท้องถิ่น รูปแบบการท่องเที่ยวที่มาแรงคือ การท่องเที่ยวแบบ Glamping ที่มาจากคำว่าGlamorous+Camping คือการตั้งแคมป์พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่กำลังเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวในประเทศจีน

เทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยว

เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นตัวช่วยด้านการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหาข้อมูลการท่องเที่ยวจากเว็บไซด์ สื่อสังคมออนไลน์ และ Influencer และให้บริษัททัวร์ช่วยออกแบบทริปที่ต้องการ

นักท่องเที่ยวจะชอบที่พักและบริการที่มีเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ที่พักใช้กุญแจดิจิทัล การสแกนลายนิ้วมือหรือสแกนใบหน้า ที่พักเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) สามารถจ่ายเงินผ่าน WeChat Pay หรือ AliPay ซึ่งตอนนี้มี 40 ประเทศที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายผ่าน Wechat Pay AliPay ได้

สำหรับนักท่องเที่ยวชาว Digital Nomad ที่ต้องทำงานผ่านระบบออนไลน์ ใช้ชีวิตแบบ Workation เที่ยวไป พักไป ทำงานไป แน่นอนว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการ สัญญาณอินเทอร์เน็ต wifi แรงๆ รองรับให้ชีวิตการท่องเที่ยวและการทำงานแบบไม่สะดุด เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวสายไลฟ์สด ที่จะชอบไลฟ์ประสบการณ์การท่องเที่ยว พวกเขาจะสัญญาณเน็ตและ wifi แรงๆ ไม่ได้เป็นแน่

สำหรับประเทศไทย ททท.ตั้งเป้าว่า ปีนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ถือเป็นโอกาสที่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยจะได้ปรับการบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในปี 2023 ที่บรรยากาศการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวกลับมาคึกคักอีกครั้ง

บทความ : ประวีณมัย  บ่ายคล้อย