เน้นการดูแลคนพิการ- เส้นทางสี จิ้นผิง(55)

0
28
ปี ค.ศ. 1988-1990 นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตหนิงเต๋อ (ภาพจากหนังสือ “การหลุดพ้นจากความยากจน”)

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1989 เป็นวันที่นายหยาง เซิงฉิว ชาวนาผู้พิการในอำเภอผิงหนาน เขตหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยนจะไม่มีวันลืม

เช้าวันนั้นนายหยาง เซิงฉิวในวัย 32 ปีตั้งใจสวมชุดสูทสีอ่อนใหม่เอี่ยม เขากับตัวแทนชาวนาอีกเจ็ดคนเดินทางไปที่ห้องประชุมของสำนักงานบริหารเขตหนิงเต๋อ เพื่อรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การปฏิรูปในรอบสิบปีที่ผ่านมาต่อเจ้าหน้าที่ระดับรองหัวหน้าแผนกขึ้นไปของหน่วยงานราชการที่ขึ้นตรงต่อสำนักงานบริหารเขต

การประชุมครั้งนี้มีนายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตหนิงเต๋อเป็นประธาน

หยาง เซิงฉิวผู้พิการเพียงร่างกายแต่จิตใจเข็มแข็ง เขารับผิดชอบการให้คำแนะนำด้านเทคนิคการผลิตเห็ดหอมในหมู่บ้านซวงซี โซ่วซาน ลู่เซี่ยและหมู่บ้านอื่นๆที่ตั้งอยู่ในเขตปฏิวัติเก่า เขายังเปิดร้านขนาดใหญ่เพื่อจำหน่ายหัวเชื้อเห็ดหอมในอำเภอเมือง และได้สร้างบ้านหลังใหญ่ที่มีห้องมากถึง 32 ห้องด้วย

ขณะกล่าวรายงาน นายหยาง เซิงฉิวถือไมโครโฟนไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เขาพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนโยบายที่ดีของพรรค ผมซึ่งเป็นคนพิการที่แม้จะลุกขึ้นยืนยังสูงไม่เท่าคนปกติที่นั่ง จะมีชีวิตอยู่ได้ก็คงต้องพึ่งพาการเลี้ยงดูของญาติสนิทเท่านั้น จะสามารถประกอบธุรกิจครอบครัวด้านการผลิตเห็ดหอมขนาดใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? จะมีวันนี้ที่ผมมีโอกาสขึ้นสู่เวทีปราศรัยใหญ่ระดับเขตได้อย่างไร? ผมนี่เสมือนเป็นนกซานจี(นกธรรมดาชนิดหนึ่ง)ที่ได้บินขึ้นเวทีสำหรับนกฟีนิกซ์!”

ขณะจะถ่ายภาพหมู่หลังการประชุม นายสี จิ้นผิงได้จับมือของนายหยางเซิงฉิวแน่นและให้เขานั่งข้างๆ เมื่อรู้ว่านายหยาง เซิงฉิวยังไร้คู่ นายสี จิ้นผิงจึงให้กำลังใจเขาว่า “ทุ่มเททำงานให้ดี จะมีหญิงสาวมาชอบคุณแน่นอน แต่งงานมีครอบครัวที่ดี ให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาว หากมีความต้องการอะไรมาหาผมได้ที่หนิงเต๋อ”

การชื่นชมและให้กำลังใจของนายสี จิ้นผิงทำให้หยาง เซิงฉิวมีความกระตือรือร้นในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น

ในช่วงเวลาเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อนในปี ค.ศ. 2004 นายหยาง เซิงฉิวต้องการเรียนรู้วิธีเลี้ยงหนอนไหม เขาเที่ยวหาจนไปถึงบริษัทประกอบธุรกิจไหมแห่งหนึ่งในเมืองถงเซียง มณฑลเจ้อเจียง แต่เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าบริษัท

นายหยาง เซิงฉิวจึงเดินทางไปที่คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียงโดยถือรูปถ่ายที่เขาถ่ายร่วมกับนายสี จิ้นผิงในปีโน้น พร้อมบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเขามาจากมณฑลฝูเจี้ยนและต้องการพบนายสี จิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำมณฑลเจ้อเจียง นายสี จิ้นผิง ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงาน ได้จัดการให้เลขานุการของเขาติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที และในที่สุดบริษัทดังกล่าวก็ตกลงที่จะถ่ายทอดเทคนิคและให้ข้อมูลแก่นายหยาง เซิงฉิว

“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านเลขาธิการสียังจำสัญญาร่วมกันระหว่างเราสองคนได้ นั่นก็คือ  “หากมีความต้องการอะไรมาหาผมได้ที่หนิงเต๋อ” แม้ว่าท่านได้ย้ายออกจากฝูเจี้ยนไปแล้วก็ตาม” หยาง เซิงฉิวกล่าวด้วยความตื้นตันใจ

ทุกวันนี้ นายหยาง เซิงฉิวได้แต่งงานมีภรรยาและมีลูกแล้ว ครอบครัวสี่คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากเรียนรู้การเลี้ยงไหมแล้ว เขายังได้นำเกษตรกรกว่าสิบครัวเรือนมาทำงานร่วมกันและร่ำรวยไปด้วยกัน ภาพถ่ายกับสี จิ้นผิงถูกวางไว้ในสถานที่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในบ้านของเขา เขากล่าวว่า มันเป็นความทรงจำและความภาคภูมิใจตลอดชีวิตของเขา

ฤดูร้อนปี ค.ศ. 1990 นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำเมืองฝูโจว และอธิการบดีมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาหมิ่นเจียง ได้รับจดหมายจากอำเภอหมิ่นชิง จดหมายนี้เขียนโดยพ่อของนักเรียนที่พิการทางร่างกายคนหนึ่ง ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวของหวง ต้าวเลี่ยง ลูกชายของเขาด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมาระหว่างบรรทัด

ปี ค.ศ.1978 หวง ต้าวเลี่ยงในวัยเยาว์สูญเสียแขนทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ ภายใต้การให้กำลังใจของพ่อ เขาฟื้นคืนพละกำลัง เรียนรู้ที่จะเขียนหนังสือด้วยเท้า สามารถเรียนจบชั้นประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายอย่างต่อเนื่อง

หวง ต้าวเลี่ยง ผู้ซึ่งทุ่มเทใช้ความพยายามอย่างหนักเป็นสิบเป็นร้อยเท่าของนักเรียนทั่วไปเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาพความเป็นจริง กล่าวคือ ปี ค.ศ. 1988 และ 1989 เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยติดต่อกัน 2 ครั้ง แม้คะแนนของเขาถึงระดับที่จะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งสองครั้ง แต่ไม่มีสถาบันการศึกษาใดยินดีรับเข้าศึกษา

ปี ค.ศ. 1990 นโยบายและกฎระเบียบของจีนเกี่ยวกับการศึกษาในมหาวิทยาลัยสำหรับผู้พิการได้รับการผ่อนปรน สิ่งนี้ทำให้หวง ต้าวเลี่ยง มองเห็นความหวังและได้ร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่สาม

พ่อกังวลว่าความปรารถนาของลูกชายอาจคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เขาจึงได้เขียนจดหมายถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาหมิ่นเจียง สุดท้ายจดหมายนี้ถูกส่งถึงนายสี จิ้นผิง

เดือนกันยายนของปีนั้น ด้วยการใส่ใจและความช่วยเหลือของนายสี จิ้นผิง ในที่สุด หวง ต้าวเลี่ยงก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาหมิ่นเจียง กลายเป็นนักศึกษาที่ไม่มีแขนสองข้างคนแรกในมณฑล เขาสำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่น ทั้งยังได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วย เขากลับไปทำงานที่สมาคมคนพิการอำเภอหมิ่นชิงหลังจากสำเร็จการศึกษา

18 พฤษภาคม ค.ศ.1997 เป็นวันช่วยเหลือคนพิการแห่งชาติ ในวันนั้น ผู้นำของมณฑลฝูเจี้ยนมีกำหนดพบปะกับตัวแทนผู้พิการมณฑลฝูเจี้ยนที่เข้าร่วมการประชุมเชิดชูเกียรติ “การพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือผู้พิการ”  ระดับชาติ โดยนายหวง ต้าวเลี่ยงเป็นหนึ่งในนั้น

ขณะผู้นำมณฑลเดินเข้าสู่เวที สายตาของหวง ต้าวเลี่ยงเบิกกว้างและหัวใจของเขาก็เต้นแรง เขารู้สึกทั้งประหลาดใจและดีใจเมื่อเห็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยของเขา ซึ่งก็คือนายสี จิ้นผิงนั่นเอง ซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำมณฑลฝูเจี้ยน

เมื่อถึงช่วงที่หวง ต้าวเลี่ยงต้องกล่าวรายงาน เขาพูดถึงความยากลำบากในระหว่างการเติบโต ความช่วยเหลือที่ได้รับจากบรรดาอาจารย์ของเขา และผลสำเร็จในการทำงานของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความสุขสามปีในมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาหมิ่นเจียง

ขณะพูดถึงเรื่องนี้ หวง ต้าวเลี่ยงได้หันไปหานายสี จิ้นผิงด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความขอบคุณ เขาเห็นนายสี จิ้นผิงที่มองเขาด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยกับเขาด้วย

แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน(CMG)

ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่

http://www.tcjapress.com/2023/09/24/xi-way-54