ภูมิหลังพระเจ้าตาก
ภูมิหลังของพระเจ้าตากถูกกล่าวถึงในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นในหนังสือภาษาไทยเรื่อง “อภินิหารบรรพบุรุษ” หรือภาษาอังกฤษโดยนักประวัติศาสตร์นามสกินเนอร์ (William G Skinner) หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษระบุว่าบิดาของพระเจ้าตากเป็นจีนไหฮอง (ไห่เฟิง – ภาษาจีนกลาง) ส่วน สกินเนอร์ระบุไว้ว่าเป็นจีนเฉ่งไห้ ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง เป็นจีนแต้จิ๋ว โดยสกินเนอร์มีหลักฐานยืนยันคือมี “สุสานของพระเจ้าตาก” ที่เมืองเฉ่งไฮ้
กระทั่งพงศาวดารญวนและเขมรก็ยืนยันว่าบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว แซ่ติ้น แม่ชื่อก๊กฮวย ส่วนบันทึกจากทางฝั่งตะวันตก “จดหมายมองซิเออร์ เดอร์ ถึง มองซิเออร์ ดารากอง” ของฝรั่งเศสระบุว่าพระเจ้ากรุงธนฯ เป็นจีนครึ่งหนึ่ง
![](https://i1.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26220085_2272609716299030_7231483430918052484_n.png?resize=456%2C456)
เมื่อไปค้นดูจากหลักฐานชั้นต้นคือจดหมายที่ไทยส่งไปปักกิ่ง พบว่าพระเจ้าตากใช้ชื่อแทนตัวเองว่า 昭 อ่านว่า “เจ” ในสำเนียงแต้จิ๋ว และ “เจา” ในสำเนียงจีนกลาง มีความหมายว่า “สว่าง” มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านให้ความคิดเห็นว่าการที่ใช้คำนี้น่าจะมาจากเสียงคำว่า “เจ้า” แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย เพราะสมัยอยุธยาไม่ได้ใช้ภาษาจีนกลาง
พระปรีชาสามารถในการใช้ภาษา
จากบันทึกประวัติศาสตร์จะพบว่า พระเจ้าตากพูดจีนได้หลายสำเนียงไม่ว่าจะเป็นกวางตุ้งหรือฮกเกี้ยน เราจะพบว่าพระเจ้าตากสามารถคุยกับ “ม่อซื่อหลิน” (มักเทียนตู้หรือพระยาราชาเศรษฐีจีน) เป็นภาษาจีนกวางตุ้งได้ นอกจากนี้ตอนที่พระยาพิชัยพาลาวเมืองแพร่มา พระเจ้าตากก็พูดลาวใส่ได้ (สมัยก่อนเมืองทางเหนือถูกราชสำนักเรียกรวมๆ ว่า ”ลาว” ทั้งหมด)
สันนิษฐานว่าเหตุผลที่ท่านมีพระปรีชาเรื่องภาษา นอกจากเพราะมีเชื้อสายจีนแล้ว ท่านยังเป็นพ่อค้าที่ต้องใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่าพระเจ้าตากไม่น่าจะพูดจีนกลางได้ เนื่องจากสมัยนั้นที่ไทยยังไม่นิยมใช้จีนกลางอย่างแพร่หลาย
ชื่อพระราชชนนี “นกเอี้ยง” เพี้ยนเป็น “นกกระยาง”
หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษระบุว่าพระเจ้าตากเป็นลูกจีนไหฮองกับนางนกเอี้ยง สันนิษฐานว่า
เป็นชื่ออำเภอไหฮองเป็นส่วนหนึ่งของแต้จิ๋วพูดเหน่อๆจีนไหฮองพวกนี้เดินทางมาถึงอยุธยาก่อนจีนแต้จิ๋ว (เพราะงิ้วซีฉินเข้ามาก่อนงิ้วแต้จิ๋ว) มีการสันนิษฐานว่าจีนไหฮองกับแต้จิ๋วสำเนียงคล้ายกันมาก คนไทยซึ่งแยกไม่ค่อยออกเลยเรียกจีนแต้จิ๋วว่า “จีนไหฮอง”
คนทั่วไปทราบกันว่าพระราชชนนีหรือมารดาของพระเจ้าตาก ชื่อ “นางนกเอี้ยง” หรือ “ลกเอี้ยง” ซึ่งหากออกเสียงแบบจีนกลางคือ “ลั่วหยาง” ภายหลังมีการบันทึกชื่อเพี้ยนเป็น “นางนกกระยาง” เพราะนำชื่อตัวจีนไปเทียบเสียงแบบจีนกลางตามความนิยมของสมัยใหม่นั่นเอง
พระเจ้าตากเป็นลูกครึ่งจีนที่กลายมาเป็นกษัตริย์
ประเด็นนี้ถูกขยายและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง มีหลายคนตั้งคำถามว่าในเมื่อแน่ชัดแล้วว่าพระเจ้าตากมีเชื้อสายจีนแล้วสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร หลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งระบุว่าท่านขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องและยังมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องอภินิหารต่างๆ รวมถึงอธิบายเหตุผลในการไปตีพุทไธมาศ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากที่พระเจ้าตากขึ้นครองราชย์แล้ว มีการสันนิษฐานว่าเนื้อความส่วนใหญ่เขียนในเชิงบวกเพื่อเชิดชูพระเกียรติพระเจ้าตากและตอบคำถามที่อาจมีคนสงสัย
บางตำราก็เขียนให้ท่านเป็นลูกเจ้าคนนั้นคนนี้ ด้วยความรู้สึกว่าหากพระเจ้าตากเป็นจีนแล้วไม่ได้เป็นเกียรติเท่าไร เลยเขียนแก้ให้ แท้จริงแล้วกษัตริย์ของบ้านเมือง ณ ขณะนั้นจะเป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพระเจ้าตากมีคุณูปการต่อประเทศไทยมาก และการจัดเสวนาในครั้งนี้คือเพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่าน
ศาลประจำตระกูลที่เท่งไฮ่
สกินเนอร์ระบุว่าที่บ้านต้นตระกูลพระเจ้าตากที่จีนมีศาลบรรพชนขนาดเล็กมาก มีไหสองใบที่พิสูจน์ได้ว่ามาจากประเทศไทย สุสานเดิมนั้นอยู่ในแอ่ง ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี พอพระเจ้าตากถูกปฏิวัติคนเลยเอาไปลือกันว่าเป็นเพราะฮวงจุ้ยไม่ถูกโฉลก พอข่าวเรื่องพระเจ้าตากถูกปฏิวัติไปถึงหู ลูกหลานที่จีนไม่พอใจก็พากันไปทุบสุสานทิ้งเสีย เล่ากันว่าตอนทุบนั้นมีอีกาบินออกไปสามตัว ผลจากการทุบทำให้ดินไหลมากลบสุสาน กลายเป็นต้นร้ายปลายดีไปเสีย เพราะการที่ถูกดินกลบทำให้สุสานรอดพ้นจากการถูกทำลายในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
![](https://i2.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26166276_2272609926299009_1372117987802486927_n.png?resize=602%2C781)
ส่วนบันทึกประจำตระกูลปรีดี พนมยงค์ ครูหลุยส์–น้องของอาจารย์ปรีดีทำบันทึกไว้ว่าหากนับถอยขึ้นไป 6 ชั่วคน แม่ของ “เฮง” ต้นตระกูลพนมยงค์มีศักดิ์เป็นอาพระเจ้าตาก และเชื่อว่าพระเจ้าตากเป็นจีนแต้จิ๋วจากอำเภอเท่งไฮ่
ขุนนางผู้ดีเก่าไม่ชอบกษัตริย์ลูกครึ่ง
เนื่องจากการที่พระเจ้าตากมีเชื้อจีนและท่านก็เปิดเผย ทำให้ขุนนางผู้ดีเก่าบางคนไม่นิยมในตัวพระเจ้าตากเท่าใดนัก พระเจ้าตากจึงจำเป็นต้องอ้างสิทธิธรรมในการขึ้นครองราชย์เพื่อให้ทั้งคนในประเทศและต่างประเทศยอมรับในการเป็นกษัตริย์ของตน
นอกจากนี้ กลยุทธ์ในการศึกสงครามที่พระเจ้าตากใช้ตอนตีเมืองคือยุทธวิธีแบบจีน (ซุนวู) หาได้ใช้ตำราพิชัยสงคราม (ได้รับมาจากทางอินเดีย) เหมือนกษัตริย์ไทยทั่วไปไม่ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มขุนนางผู้ดีเก่าไม่พอใจ
ทหารจีนมีส่วนมากน้อยแค่ไหนตอนพระเจ้าตากกู้ชาติ
ประวัติศาสตร์เขียนว่าพระเจ้าตากมีลูกน้องทั้งไทยและจีน เลยมีคนตั้งข้อสงสัยว่าแล้วทหารจีนมีส่วนมากน้อยแค่ไหนตอนรบเพื่อกู้ชาติ เนื่องจากสมัยอยุธยาจะมีจีนฮกเกี้ยนอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวจีนฮกเกี้ยนในสมัยนั้นยอมช่วยพระเจ้าตากไหม เพราะพระเจ้าตากเป็นจีนแต้จิ๋ว คำตอบคือมีจีนบรรดาศักดิ์พวกที่เข้ามานานแล้วจนได้เป็นขุนนาง มีจีนยกสำเภาให้เพื่อใช้กลับมายึดอยุธยาคืน
พงศาวดารที่กล่าวถึงการรบที่พุทไธมาศ – ศึกบางกุ้ง ระบุว่ามีทั้งทหารไทยและจีนร่วมรบ แต่พอมาค้นพงศาวดารช่วงหลังกลับไม่มีท่อนนี้แล้ว สันนิษฐานว่าตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ จีนเหล่านั้นก็เข้ามาอยู่เป็นเวลานาน จนบางคนมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่งงานมีลูกมีหลานอยู่เมืองไทย จึงเรียกว่าทุกคนเป็น “คนไทย” หมดแล้ว
![](https://i0.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26219140_2272609959632339_5098706375489046213_n.png?resize=597%2C398)
ลูกน้องคนเก่งของพระเจ้าตาก
มีการตั้งข้อสังเกตว่าต้นตระกูลจีนของพระเจ้าตากมีญาติเข้ามาไทยเพียงไม่กี่รุ่น เรียกได้ว่าเครือญาติน้อย เมื่อครั้งได้ขึ้นเป็นกษัตริย์จึงต้องพึ่งพาคนไว้ใจไปครองเมือง
หนึ่งในนักรบคู่ใจของพระเจ้าตากคือ “หลวงพิชัยราชา” เป็นลูกของพระยาเพชรบุรีครั้งกรุงเก่า พบว่าตั้งแต่ตอนตีเมืองนครศรีธรรมราชก็ปรากฏชื่อพระยาพิชัยแล้ว พอตีหัวเมืองเหนือได้เลื่อนเป็น “เจ้าพระยาพิชัยราชา” และสุดท้ายได้เป็นหลวงพิชัยราชาตามลำดับ
อีกคนคือ “ขุนพิพิธวาที” หรืออีกชื่อคือ “พระยาราชาเศรษฐี(จีน)” ซึ่งชื่อนี้ได้หายไปหลังจากพงศาวดารธนบุรี 2318 ซึ่งผู้บรรยายกล่าวว่า เพื่อกันความสับสนของนักประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จึงอยากให้ทราบว่าสมัยนั้นมีพระยาราชาเศรษฐีมีสองคนคือ พระยาราชาเศรษฐี(จีน) หรือ “ขุนพิพิธวาที” กับ พระยาราชาเศรษฐี (ญวน) หรือ “มักเทียนตู้” นั่นเอง
พระเจ้าตากซ้อนแผนของมักเทียนตู้
ในตอนนั้น มักเทียนตู้อ้างกับประเทศจีนว่าฝั่งตนมีทายาทที่ถูกต้องที่ควรได้สืบเชื้อสายกษัตริย์ไทยอยู่ ทำให้พระเจ้าตากต้องไปต่อรองกับมักเทียนตู้ให้ส่งตัวทายาทมา
มักเทียนตู้จึงออกอุบายหลอกว่าจะส่งข้าวมาพร้อมเจ้าศรีสังข์ซึ่งเป็นทายาทมาให้ แต่แท้จริงมีแผนจะจับพระเจ้าตาก แต่โดนพระเจ้าตากซ้อนแผนตีกลับ ยกทัพไปตีเมืองจันทบุรี พอเข้ายึดเมืองจันท์ได้จึงสถาปนาขุนพิพิธวาทีเป็นพระยาพุทไธมาส มีการรบพุ่งตีกันไปมาหลายครั้ง จนสุดท้ายจึงจับมักเทียนตู้ได้สำเร็จ
![](https://i0.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26169707_2272609999632335_7058743907679525077_n.png?resize=587%2C391)
พระยาราชาเศรษฐี (จีน) หายไปไหน?
จากที่เกริ่นมาก่อนหน้าว่าชื่อของพระยาราชาเศรษฐี(จีน) ได้หายไปหลังจาก พ.ศ.2318 ทำให้คนส่วนมากเข้าใจว่าเสียชีวิตแล้ว แต่มีข้อเสนอใหม่ทางประวัติศาสตร์คาดคะเนว่ามีความเป็นไปได้ที่ว่าเขาไม่ได้ตาย แต่แค่แปรพักตร์ โดยสังเกตจากช่วงยุครัตนโกสินทร์มีการเคลื่อนย้ายที่พักของกลุ่มชาวจีนที่แต่ก่อนอยู่ในวังให้ย้ายไปอยู่แถวสำเพ็งแทน หลักฐานพงศาวดารชิ้นหนึ่งระบุว่าสมัยปลายธนบุรี มีดำริให้พระยาราชาเศรษฐี (จีน) กลับไปครองประไทยมาศ (หรือพุทไธมาศ) ดังเก่า
มีช่วงหนึ่งที่พวกจีนและญวนโดนเนรเทศออกไปจากเมืองหลวง ด้านมักเทียนตู้โดนบังคับให้กินยาพิษตาย แต่ไม่แน่ใจพระยาราชาเศรษฐี (จีน) ตายด้วยหรือไม่ แนวคิดใหม่คาดการณ์ว่าน่าจะกลับมารับใช้รัชกาลที่1
เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะยุคสมัยใดการเมืองเปลี่ยนขั้วได้เสมอ
เสริมเรื่องปึงเท่ากง
นิราศของสุนทรภู่กล่าวถึงเมื่อครั้นผ่านวัดพนัญเชิง จีนแถวนั้นเรียกศาลเจ้าแบบจีนตรงนั้นว่า “ปึ่งเท่ากง” จากสำเนียงแสดงว่าจีนที่อยู่แถวนั้นเป็นจีนแต้จิ๋ว
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ เวลาพูดถึงชุมชนชาวจีนควรระบุด้วยว่าเป็นจีนอะไร เช่น จีนนายก่ายเป็นฮกเกี้ยน จีนสวนพลูที่มาที่หลังเป็นแต้จิ๋ว เป็นต้น
เราจะมองเห็นความพิเศษของสังคมไทยคือไทยเป็นสังคมแบบ “บูรณาการ” ผสมปนเปได้หมด และอยู่กันได้ค่อนข้างราบรื่นไม่แตกแยก
![](https://i2.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26166930_2272610042965664_638728122691337028_n.png?resize=579%2C386)
มองความสัมพันธ์กับจีน
แผนที่ที่เขียนโดยฝรั่งเศส แสดงให้เห็นถึงฝั่งหน้าแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้อมซึ่งถูกรื้อไปแล้ว วงเมืองไม่รวมตะวันออก และครั้งช่วงตอนพม่าตีกับฝรั่ง ชุมชนชาวจีนน่าจะหายไปหมด
นิราศเพชรบุรีที่ถูกแต่งขึ้นในสมัยปลายอยุธยามีการอ้างถึง “บางจีน” แสดงว่าสมัยนั้นต้องมีชุมชนจีนแล้ว ที่น่าสนใจคือในนิราศเพชรบุรีนี้ได้มีกล่าวถึง “วัดแจ้ง” แล้ว เพราะฉะนั้น นิทานที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงธนล่องเรือจากอยุธยามาสว่างวัดแจ้งน่าจะถูกแต่งขึ้นภายหลัง
![](https://i1.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26166216_2272610096298992_5540251182350810591_n.png?resize=602%2C649)
นอกจากแค่ในไทยแล้ว กระทั่งต่างชาติยังรับรู้การมีอยู่ของชุมชนจีน
จากหลักฐานของแผนที่ราชการลับของพม่า มีการส่งมอญเข้ามาเพื่อสืบราชการลับ ตรงตำแหน่งพระบรมมหาราชวังเขียนว่าเป็น “นิคมชาวจีน” โดยตรงนั้นมีวังพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทราพิทักษ์ ซึ่งคิดว่าน่าจะให้มาคุมกลุ่มชาวจีนอีกที
ที่น่าสนใจคือการให้ชุมชนชาวจีนมาอยู่ใกล้วังหลวง แสดงว่าพระเจ้าตากไว้เนื้อเชื่อใจกลุ่มคนจีนมาก โดยบ้านของพระยาราชาเศรษฐี (จีน) ยังตั้งอยู่ใกล้วังกว่าเจ้าพระยาสุรสีห์ (ปัจจุบันคือบริเวณ ม. ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์) เสียอีก
แล้วชุมชนญวนตั้งอยู่ที่ไหน
อย่างที่ทราบกันว่าพระยาราชาเศรษฐี (ญวน) นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระเจ้ากรุงธน สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่แถบวัดทิพวารี แถวบ้านหม้อ โดยให้อยู่กับ “องเทียนซุ่น” ซึ่งเป็นชาวญวนเหมือนกัน
แผนที่เก่าบอกอะไรบ้าง
เราสามารถเรียนรู้จากแผนที่สมัยเก่าว่า “คลองหลอด” ณ ปัจจุบัน อดีตคือคูเมือง ส่วนแถบบ้านหม้อเป็นบริเวณนอกเมืองธนบุรี
ส่วนชื่อ “ท่าเตียน” อาจจะเพี้ยนมาจากคำว่า “ห่าเตียน” ส่วน “อันนัม” คือ นิกายญวน
ส่วนบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาที่เห็นแถวหน้าธรรมศาสตร์เป็นส่วนที่ขุดเพิ่มเติม สิ่งนี้ทำให้เราทราบได้ว่าพระชัยราชามีสายตาที่เฉียบมองการณ์ไกลมาก
![](https://i2.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2018/01/26167246_2272610112965657_7325832366355783082_n.png?resize=412%2C749)
*หมายเหตุ : บทความนี้สรุปมาจากการบรรยายในหัวข้อ “250 ปี พระเจ้าตากสินมหาราช ต้นธารจีนสยาม” จัดโดยอาศรมสยาม–จีนวิทยา ร่วมกับศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายโดย ผศ.ถาวร สิกขโกศล และ ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล ดำเนินรายการโดย ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2560 เวลา 14.00 – 17.00 น. ณ ห้องประชุม 1102 ชั้น 11 อาคาร ซี.พี. ทาวเวอร์ ถนนสีลม
เรียบเรียงและรายงาน: อรอนงค์ อรุณเอก 林敏儿