รักษาสัจจะ- เส้นทางสีจิ้นผิง (26)

0
15
วันที่ 19 กรกฎาคมปี 1989 สี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตหนิงเต๋อเดินทางลงพื้นที่ที่ตำบลเซี่ยต่าง อำเภอโซ่วหนิง มณฑลฝูเจี้ยน

ช่วงเที่ยงวันที่ 19 กรกฎาคม 1989 ในวันที่อากาศร้อนจัด ที่ตำบลเซี่ยต่าง อำเภอโซ่วหนิง มณฑลฝูเจี้ยน บริเวณข้างศาลาเหวินจิง ซึ่งหันหน้าไปทางสะพานหลวนเฟิง คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงมาตามทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยขวากหนามจากบนภูเขา พวกเขาสวมหมวกฟาง เหงื่อออกชุ่ม ท่าทางเร่งรีบและเหน็ดเหนื่อย คนที่เดินนำหน้าคนกลุ่มนั้นคือ นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน 

จาง เผยจี หนึ่งในคนกลุ่มนั้น ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการหอวัฒนธรรมอำเภอโซ่วหนิงได้ใช้กล้องถ่ายภาพนี้ไว้

ชาวบ้านพากันตะโกนส่งเสียง “ ‘จือฝู่’ (คำเรียกข้าราชการสมัยโบราณจีน) มาแล้ว!”

“ชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตว่า ‘จือฝู่’ หลิว หมิงหวา รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำตำบลเซี่ยต่างในขณะนั้นเล่าย้อนความหลังให้ฟังว่า “สี จิ้นผิงและคณะของเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและยิ่งใหญ่ที่สุด  ชาวบ้านบอกว่าสี จิ้นผิงเป็น ‘ข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงสุดที่เคยมาที่นี่’ พวกเขานำถังไม้ชนิดต่างๆ ออกมาตั้งรอรับ ซึ่งแต่ละถังนั้นเต็มไปด้วยเครื่องดื่มแก้กระหายที่ทำจากสมุนไพรในท้องถิ่น และยังมีน้ำถั่วเขียวอีกด้วย”

อำเภอโซ่วหนิงตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ส่วนตำบลเซี่ยต่างอยู่ในชนบทบนภูเขาที่ห่างไกลที่สุดในอำเภอแห่งนี้ ถูกขนานนามว่า “ไซบีเรีย” แห่งโซ่วหนิงตั้งแต่อดีต

สี จิ้นผิงเดินทางไปตำบลเซี่ยต่างครั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้

ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 1987 เจ้าหน้าที่  4 คน ซึ่งรวมถึงหยาง อี้โจว และหลิว หมิงหวาได้รับคำสั่งให้ดำเนินการจัดตั้งตำบลเซี่ยต่าง แม้ว่าเวลานั้นเขตหนิงเต๋อจะยังไม่ร่ำรวย แต่ความยากจนและความโดดเดี่ยวของที่ตำบลแห่งนี้ทำให้พวกเขานึกสภาพไม่ออกว่าจะไปต่อไปอย่างไร เพราะที่นี่คือตำบล “ห้าไม่มี” คือ ไม่มีถนน ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้าแสงสว่าง ไม่มีรายได้การคลัง และไม่มีสำนักงานของภาครัฐ ไม่มีถนน ทางเดินบนภูเขาก็สุดแสนจะยากลำบาก จะไปตำบลใกล้เคียงใดก็ตามก็ต้องเดินข้ามภูเขามากกว่า 10 กิโลเมตร พ่อค้าแม่ค้าไม่กล้านำสินค้าที่เป็นน้ำหรือของเหลวไปด้วย เพราะกลัวว่าเมื่อพวกเขาหาบสินค้าข้ามภูเขา จะเผลอทำของเหลวเหล่านั้นแตกและทำให้สินค้าอย่างอื่นเสียหาย ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยจึงไม่เคยเห็นแม้แต่ซีอิ๊ว

ที่นี่ไม่มีอาคารเรียน เด็ก ๆ เรียนหนังสือภายในวัด มีคำพูดที่ว่า “นักเรียนกับพระโพธิสัตว์อยู่หอเดียวกัน เสียงอ่านหนังสือกับเสียงสวดมนต์ดังขึ้นพร้อมกัน” ปีหนึ่งจะมีการฉายหนังให้ชาวบ้านได้ชมอย่างมาก 1-2 ครั้ง หลังจากหนังจบ เด็กๆ มักจะวิ่งกรูกันไปหลังจอหนัง เพื่อหยิบปลอกกระสุนที่ “ตกลงสู่พื้นดิน” ขณะฉายหนัง

เดือนมกราคมปี 1988 ตำบลเซี่ยต่าง ซึ่งชาวนามีรายได้ต่อคนต่อปีน้อยกว่า 200 หยวน ก่อตั้งขึ้นพร้อมแขวนป้ายชื่ออย่างเป็นทางการท่ามกลางความยากจนและความเปราะบาง ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของทีมผู้นำคือ จะตัดถนนเชื่อมกับภายนอกและช่วยชาวบ้านให้หลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างไร

เดือนมิถุนายนปี 1989 ขณะเข้าร่วมการประชุมสัมมนาเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำตำบลที่ยากจนในเขตหนิงเต๋อนั้น หยาง อี้โจว ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำตำบลเซี่ยต่าง ได้ลุกยืนขึ้นพร้อมกล่าวอย่างดุเดือดซึ่งสำนวนจีนเปรียบว่าเหมือนการ “ยิงปืนใหญ่” ว่า “สำหรับพื้นที่ยากจน เจ้าหน้าที่ระดับบนต้องเอาใจใส่ บรรเทาความยากจน” เมื่อได้ฟัง สี จิ้นผิง จึงนัดหมายกับเขาในทันทีว่าจะเดินทางไปยังตำบลเซี่ยต่างสักครั้ง

ผู้คนจำนวนหนึ่งคิดว่า สี จิ้นผิงคงพูดส่งส่งและคงไม่ได้ไปจริง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน พวกเขาได้รับแจ้งว่าเลขาธิการสีกำลังจะไปที่ตำบลเซี่ยต่าง

อันที่จริงหลังจากสี จิ้นผิงไปถึงเขตหนิงเต๋อในเดือนมิถุนายนปี 1988 เขาก็ได้เข้าไปดูแลประชาชนในระดับรากหญ้าในทันที

เฉิน เจิงกวง ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ตรวจการพิเศษของเขตหนิงเต๋อเล่าย้อนไปในอดีตว่า ระหว่างต้นเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมปี 1988 เขาและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้ติดตามสี จิ้นผิงลงพื้นที่ต่อเนื่องจนครบทั้ง 9 อำเภอในเขตหนิงเต๋อ ต่อจากนั้นยังได้เดินทางไปศึกษาดูงานในเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง เพราะสี จิ้นผิง มองว่า “เวินโจวอยู่ใกล้ทางเหนือของหนิงเต๋อมาก แต่พัฒนาได้เร็วต้องมีเคล็ดลับอะไรที่เราควรไปศึกษา”

หลังผ่านการศึกษาค้นคว้า  สี จิ้นผิงได้กำหนดแนวคิดการพัฒนาของ “หมิ่นตง”(หมิ่นตง หมายถึงภาคตะวันออกของมณฑลฝูเจี้ยน)ในเบื้องต้น คือ ในเวลานั้นชาวบ้านในหมิ่นตงประสบปัญหา แม้แต่เรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม สภาพในตอนนั้นห่างไกลจากเงื่อนไขการบุกเบิกและการพัฒนาแบบก้าวกระโดด จึงไม่ควรคาดหวังที่จะพัฒนาในรูปแบบทั่วไป แต่ควรถือ “การขจัดความยากจน” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย เป็นแนวทางหลักในการทำงาน เพื่อวางรากฐานและสร้างเงื่อนไขไปสู่การบรรลุการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในขั้นตอนต่อไป

รายงานการสำรวจฉบับแรกของสี จิ้นผิงหลังจากทำงานในเขตหนิงเต๋อเขาใช้ประโยคที่ว่า “นกอ่อนแอบินได้ก่อนอย่างไร – ข้อคิดจากการสำรวจเก้าอำเภอในหมิ่นตง ” เป็นหัวข้อรายงาน ซึ่งเขาใช้คำว่า “นกอ่อนแอ” เปรียบหมิ่นตงที่ยากไร้ และใช้คำว่า “นกอ่อนแอบินก่อน” เพื่อตอกย้ำว่าหมิ่นตงที่ยากจนต้องมีการปลดปล่อยทางความคิดและอัพเดทแนวคิดใหม่ ต้องมีจิตสำนึกแห่งการ “โบยบินก่อน” และต้องมี “ศิลปะแห่งการบินข้ามทะเลและมหาสมุทร” เมื่อทำได้เช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ “นกอ่อนแอมีโอกาสบินได้ก่อน ผู้ยากจนมีโอกาสร่ำรวยก่อน”

แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG)

ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่

http://www.tcjapress.com/2023/03/14/xi-way-25