“จีนเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศไปสำรวจ “ด้านหลัง” ของดวงจันทร์”
โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์
โดยธรรมชาติแล้ว ดวงจันทร์หันหน้าด้านเดียวเข้าหาโลกโดยตลอด ส่วนอีกหน้าหนึ่งจะซ่อนอยู่ด้านหลังเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะดวงจันทร์โคจรรอบโลกด้วยความเร็วเท่ากับที่โลกหมุนรอบตัวเองพอดิบพอดี เราจึงได้เห็นแต่ด้านหน้าของดวงจันทร์ที่หันหน้ามาหาเรา ส่วนอีกด้านหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ภาษาจีนเรียกว่า “เป้ยเมี่ยน” หรือ “ด้านหลัง” ส่วนฝรั่งนิยมเรียกว่า “far side” หรือ “ด้านที่อยู่ไกล”
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีสมองและมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ ความอยากรู้อยากเห็นล่องลอยไปไกลถึงดวงดาวต่าง ๆ ในอวกาศ อยากรู้ว่ามีมนุษย์อยู่บนดาวดวงไหนหรือไม่ บนดวงดาวมีแร่ธาตุมีค่าอะไรที่เหมาะจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง การสำรวจอวกาศของมนุษย์เริ่มต้นจากดวงจันทร์ก่อนเพราะอยู่ใกล้ที่สุด สหภาพโซเวียตเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศ Sputnik ขึ้นสู่วงโคจรของโลกในปี 1957 ส่วนอเมริกาก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้ตั้งองค์การสำรวจอวกาศ NASA ขึ้นแล้วส่งยานอวกาศ Apollo ขึ้นไปในปี 1969 ในครั้งนั้นผู้คนพากันตื่นเต้นที่เห็นภาพนักบินอวกาศ “นีล อาร์มสตรอง” กำลังเดินย่ำอยู่บนผิวดวงจันทร์ แล้วปักธงชาติอเมริกาเป็นสักขีพยานการลงเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก แต่เรื่องนี้ต่อมาถูกกล่าวหาว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดจัดฉากหลอกลวงชาวโลก อันที่จริงจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์ลงไปถึงผิวดวงจันทร์ได้เลย
กล่าวกันว่าอเมริกาใช้งบประมาณกับโครงการนี้ถึง 25,000 ล้านดอลลาร์ ใช้คนทำงานถึง 4 แสนคน การส่งยานแต่ละครั้งก็มีความเสี่ยงมาก มีครั้งหนึ่งที่จรวดระเบิดขณะยิงขึ้นจากผิวโลกเพียงไม่กี่นาที ทำให้มนุษย์อวกาศในนั้นเสียชีวิตถึง 3 คน เรื่องเหล่านี้ทำให้อเมริกาต้องคิดหนัก ประกอบกับการเมืองภายในของอเมริกาเองก็กำลังปั่นป่วน อเมริกาติดพันอยู่ในสงครามเวียดนามมาหลายปีจนต้องยอมแพ้ ส่วนภายในประเทศก็เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี โครงการอวกาศของเมริกาจึงถูกระงับไปอยู่นาน จนกระทั่งจีนเริ่มผงาดขึ้นมาเอาจริงเองจังทางด้านอวกาศ อเมริกาจึงต้องหันมาจับโครงการนี้อีกครั้งในปี 2021 ภายใต้ชื่อโครงการใหม่เรียกว่าโครงการ Artimis
จีนมองเห็นความสำคัญในการค้นคว้าวิจัย และได้ทุ่มเทงบประมานมหาศาลให้กับโครงการอวกาศ เริ่มด้วยการตั้ง “องค์การอวกาศแห่งชาติ”หรือ CNSA (China National Space Administration) ขึ้นก่อนในปี 1994 ต่อมาก็ได้ให้กำเนิดโครงการที่รู้จักกันดีว่า “โครงการฉางเอ๋อ” (China Lunar Exploration Project) เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2004 ได้ส่งยานฉางเอ๋อ-1 และ 2 ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ตามมาด้วยฉางเอ๋อ 3 ฉางเอ๋อ 4 ที่ยิงตามติดขึ้นไป ปี 2013 ฉางเอ๋อ 3 ลงจอดและสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ แต่ยังคงเป็นการสำรวจดวงจันทร์ด้านหน้าที่หันเข้าหาโลกเท่านั้น ความมุ่งมั่นของจีนที่จะสำรวจดวงจันทร์ที่อยู่ด้านหลังหรือด้านไกลเริ่มส่อเค้าให้เห็นเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2018 ฉางเอ๋อ 4 ถูกส่งไปบินรอบดวงจันทร์ทางด้านหลัง (ด้านไกล) และลงจอดได้สำเร็จ ตามมาด้วยฉางเอ๋อ 5 ส่งไปเพื่อทดลองเก็บตัวอย่างทางด้านหน้าของดวงจันทร์ ครั้งสุดท้ายคือโครงการฉางเอ๋อ 6 ที่บทความนี้จะลงรายละเอียด เป็นโครงการที่จีนเพิ่งส่งไปเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง
ภารกิจของฉางเอ๋อ 6 คือการไปเก็บตัวอย่างทั้งวิธีขุดเจาะและเก็บจากพื้นผิว ที่บริเวณขั้วใต้ด้านหลังของดวงจันทร์ให้ได้ 2,000 กรัม ภารกิจนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพราะมีความยุ่งยากซับซ้อนหลายด้าน โดยเฉพาะการสื่อสารกับทางโลก เพราะต้องมีดาวเทียมสื่อสารอีกดวงหนึ่งที่ส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์เป็นข้อต่อในการถ่ายทอดข้อมูล อีกทอดหนึ่ง การลงจอดของยานก็มีความซับซ้อน เพราะต้องแบกอุปกรณ์ขุดเจาะ แขนกลเก็บตัวอย่าง และยานที่จะส่งตัวอย่างต่าง ๆ ที่ขุดได้ไปส่งให้กับยานที่จะกลับสู่พื้นโลก ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นระบบอัตโนมัติใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด
มนุษย์เดินทางไปดวงจันทร์เพื่อเก็บตัวอย่างมาแล้ว 10 ครั้ง มีแต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ยานสำรวจจะลงจอดที่ด้านหลังของดวงจันทร์ เพราะจากการศึกษาวิเคราะห์พบว่า พื้นผิวดวงจันทร์ด้านหลังมีอายุเก่าแก่กว่า มีคุณค่าในการวิจัยมากกว่า ฉางเอ๋อ 6 มีภาระหน้าที่ต้องลงจอดและเก็บตัวอย่างกลับมาศึกษาวิจัยให้ได้
ทั้งหมดนี้ทางการจีนตั้งเป้าว่า หากฉางเอ๋อ 6 ได้รับความสำเร็จอย่างดี ฉางเอ๋อ 7 และ 8 จะเป็นก้าวต่อไปสู่การสร้างสถานีอวกาศและส่งมนุษย์ขึ้นไปประจำบนดวงจันทร์ให้ได้ภายในปี 2030 แล้วอาศัยดวงจันทร์เป็นฐานในการสำรวจดาวพระเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะต่อ ๆ ไป นอกจากนี้การสำรวจดวงจันทร์ยังมีแรงจูงใจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือโอกาสที่จะได้ค้นพบแหล่งแร่หายาก เช่น แร่ลิเทียมซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่บนดวงจันทร์จำนวนมาก
ปัจจุบันจีนเป็น 1 ใน 3 ของประเทศที่มีใช้เทคโนโลยีอวกาศของตนเองล้วน ๆ ทั้ง ๆ ที่อเมริกาพยายากีดกันจีนไม่ให้เข้าร่วมโครงการอวกาศนานานาชาติที่อเมริกาเป็นผู้นำ แต่จีนก็ไม่ยี่หระได้สร้างสถานีอวกาศ “เทียนกง” ขึ้นเป็นสถานีอวกาศถาวร แล้วส่งมนุษย์อวกาศผลัดกันขึ้นไปประจำตลอดเวลาเป็นรุ่น ๆ มนุษย์อวกาศจะทำหน้าที่ทดลองวิจัยทางวิทยาศาสตร์โครงการต่าง ๆ ภายใต้สภาวะที่เป็นสุญญากาศ คาดว่าอีกไม่นาน “เทียนกง” จะขึ้นมาทำหน้าที่แทนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ของอเมริกาที่เก่าแก่ และมีทีท่าว่าจะหมดอายุปลดระวางลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
จีนนอกจากจะทุ่มเทงบประมาณปีละ 2,000 ล้านหยวนในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศแล้ว ยังเปิดโอกาสให้กับบริษัทเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่สนใจ สามารถร่วมลงทุนในกิจการอวกาศเชิงพาณิชย์ที่ตนสนใจ เช่น ร่วมทุนกับจีนเพื่อใช้ดาวเทียมของจีนวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับการคมนาคม การนำร่อง การพยากรณ์อากาศ กระทั่งการทหาร จีนมีแผนจะทำให้ตนกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศภายในปี 2045
ศาสตราจารย์ ซาอิด มอสเตซาร์ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายและกฎหมายอวกาศแห่งลอนดอนกล่าวว่า…
“นี่คือการแสดงอำนาจและแสนยานุภาพ อีกทั้งเผยให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนอย่างชัดเจน”
![](https://i1.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2024/06/CbkthzH007018_20240606_CBMFN0A003_0.jpg?resize=640%2C874)
![](https://i1.wp.com/www.tcjapress.com/wp-content/uploads/2024/06/CbkthzH007018_20240606_CBMFN0A004_0.jpg?resize=640%2C380)